วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2559

อาจารย์ศิลป์ กับ ลูกศิษย์ (ตอน4)


โดย ประยูร อุลุชาฎะ

พลังอำนาจ

ตอนผมเรียนอยู่ปี5 มีเหลืออยู่ 2 คนเท่านั้น คือผมกับไพบูลย์ สุวรรณกูฏ อาจารย์สิลป์ท่านก็สอน Critic กับ Aesthetic ท่านก็เอาหนังสือมาแปลให้ฟัง ให้ดู ท่านบอกว่า การที่เราจะพิจารณาถึงความแตกต่างของศิลปิน เราจะต้องพิจารณาดูที่ Force หรือพลังอำนาจด้วย แล้วท่านก็เปิดเพลงบีโธเฟน บอกว่าเขาเหนือกว่าใคร เพราะอะไร ก็เพราะเขามี Force มีพลังอำนาจ ท่านพูดถึง ไมเคิลแอนเจโล ด้วย ไอ้ผมก็พูดว่า ไมเคิลแอนเจโล เขียนรูปดีก็จริง แต่บางทีดูแล้วมันเหมือนรูปปั้น รูปสลักลอยเคว้งคว้าง แต่ ราฟาเอล ดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างที่ดูจะเป็นจิตรกรรมมากกว่าของ ไมเคิลแอนเจโล

อาจารย์ศิลป์ ท่านก็บอกว่า ท่านหมายถึงพลังอำนาจบางอย่างที่มีอยู่ในงาน ไอ้เราตอนนั้นก็คงยังไม่เข้าใจอะไรลึกซึ้งนัก ท่านก็บอกว่าเอาละไม่เป็นไร แล้วท่านก็พูดเรื่องอื่นต่อไป

ภายหลังผมมาเข้าใจดี เมื่อตอนไปยุโรป ไปที่วังวาติกัน กรุงโรม ผมเดินดูภาพแต่ละห้อง ขณะนั้นนักท่องเที่ยวต่างก็เดินผ่านๆไป ไม่สนใจรูปอะไรๆมากนัก แม้จะเป็นรูปของราฟาเอล หรือ ของบอทติเซลลิก็ตาม ทุกคนมุ่งไปที่วิหารซีสตีน ที่ไมเคิลแอนเจโลเขียนภาพไว้ แล้วก็ไปตกคลั่กอยู่ในวิหารนั้น เพื่อจะดูภาพ The Last Judgement ซึ่งเป็นรูปภาพเขียนอยู่บนผนังของวิหาร ทุกคนที่ไปดู ตะลึงงันกันไปหมด ทั้งๆที่เป็นภาพอย่างที่ผมเคยบอกอาจารย์ศิลป์ไปว่า เป็นรูปปั้นลอยเคว้งคว้างๆ อะไรนั่น ผมเห็นแล้วก็นึกอยู่ว่านี่มันเป็นงานที่เกินพลังอำนาจมนุษย์ธรรมดาจะทำได้ ราฟาเอลมันดีจริง มันใหญ่จริง แต่เทียบกันไมเคิลแองเจโลแล้ว เทียบไม่ได้ ไอ้ผมไม่ฟัง ไม่เชื่ออาจารย์แต่แรก

แต่ที่เป็นอย่างนั้นไม่ใช่อะไรหรอก เราอยู่เมืองไทย อาจารย์ท่านเอาของที่เราไม่เคยพบเคยเห็นมาสอน แล้วมันเป็นเพียงภาพพิมพ์ แต่ตัวท่านเคยเห็นของจริงมาแล้ว ท่านดูมิติของภาพมาแล้ว ท่านก็พูดได้เต็มที่ แต่เราไปดูในภาพถ่าย ภาพพิมพ์ซึ่งมันแบนเท่ากันหมด เราก็เห็นผลงานของราฟาเอล สวยนุ่มนวล ยิ่งรูปมะดอนน่าก็ยิ่งสวย ก็เลยดูว่าสวยกว่าของไมเคิลแองเจโล ผมนึกว่าศึกษางานศิลปะนี่มันต้องเห็นของจริง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น