วันศุกร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ทักษา

โดยพลูหลวง
ปฐมภาคแห่งโหราศาสตร์
๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๔



ทักษา คือ ระบบการไล่วันทั้งเจ็ดตามแบบโบราณ  ผู้เกิดวันใดก็จะต้องไล่วันไปตามแผนผัง ก็จะรู้ได้ว่าวันใดดี หรือวันใดไม่ดีสำหรับตน ตัวเลขของวันไปตรงกับดาวอะไรก็จะบ่งบอกลักษณะของดาวนั้นๆ ด้วยแผนผังข้างบน

การนับให้นับเวียนทางขวามือ หรือตามเข็มนาฬิกา เช่น เกิดวันจันทร์ ก็ต้องนับจันทร์เป็นภูมิแรกเป็นบริวาร ภูมิอังคารถัดมาเป็นอายุ และถุดไปเป็น เดช ศรี มูละ อุตสาหะ มนตรี และกาลกิณี ตามลำดับ 

บริวาร หมายถึง   พวกพ้อง บุตร คนที่ต่ำกว่าเรา
อายุ    หมายถึง    สุขภาพของเจ้าชาตา อายุ และความเป็นอยู่
เดช    หมายถึง    อำนาจ ความเข้มแข็ง กระตือรือร้นต่างๆ
ศรี      หมายถึง    การยกย่อง ความดี คุณความดีต่างๆ และ ความอุดมสมบูรณ์
มูละ    หมายถึง   ถิ่นฐานบ้านเรือน ญาติ ที่ดิน
อุตสาหะ หมายถึง   การงาน  ความพยายามของชีวิต
มนตรี     หมายถึง  ผู้ใหญ่ ที่พึ่ง  หรือถ้าผู้หญิงหมายถึงคู่ครอง
กาลกิณี  หมายถึง  สิ่งขัดข้อง ความชั่วร้าย สิ่งอันให้โทษแก่ดวงชาตา

เลขใดตรงกับดาวอะไร ในดวงชาตาใครก็ถือว่า ดาวนั้นๆ คือสิ่งอันตรงกับแผนผังที่ไล่ไปตามวันเกิดนั่นเอง เช่น

เกิดวันจันทร์  จันทร์(๒) เป็นบริวาร อังคาร(๓) เป็นอายุ  พุธ(๔) เป็นเดช  เสาร์(๗) เป็นศรี   พฤหัส(๕) เป็นมูละ  ราหู(๘) เป็นอุตสาหะ  ศุกร์(๖) เป็นมนตรี และ อาทิตย์(๑) เป็นกาลกิณี

เกิดวันพฤหัส  ไล่เวียนขวาไปตามลำดับก็จะได้ดังนี้คือ พฤหัส(๕)เป็นบริวาร ราหู(๘)เป็นอายุ  ศุกร์(๖)เป็นเดช  อาทิตย์(๑)เป็นศรี  จันทร์(๒)เป็นมูละ  อังคาร(๓)เป็นอุตสาหะ  พุธ(๔)เป็นมนตรี  และ เสาร์(๗)เป็นกาลกิณี

ระบบทักษานี้เป็นที่นิยมยกย่องกันมาก ในวงการโหรไทย สามารถนำมาทำนายดวงชาตาได้อย่างกว้างขวางทั้งพื้นดวงและดาวจร และยังเล่นพิสดารเปลี่ยนทักษาไปทุกๆปี นับตั้งแต่ปีกำเนิดเริ่มภูมิแรกที่วันเกิด อายุสองขวบก็คือภูมิถัดไปนั่นเอง เช่นเกิดวันจันทร์นับ ๑ ขวบ ที่ภูมิจันทร์ พออายุย่างเข้า๒2 ขวบ ต้องถือภูมิอังคารแล้วเริ่มนับทักษาใหม่ เอาอังคารเป็นบริวาร พุธเป็นอายุ ฯลฯ นับต่อไปตามลำดับ เมือเวียนไปถึงภูมิอาทิตย์ ท่านบังคับให้ย้อนเข้าภูมิกลางเสียก่อน ๑ ปี แล้วจึงต่อไปที่ภูมิจันทร์ เวียนไปเรื่อยๆตามอายุ การที่ต้องนับวกเข้าภูมิกลางซึ่งเรียกว่าภูมิ เหตุนี้ทำให้เป็นเหตุยุ่งยาก นักโหราศาสตร์ต่างก็ถกเถียงกันเสนอข้อคิดต่างๆว่า เมื่อเข้าภูมิกลางจะเริ่มนับบริวารที่ไหน บ้างก็ว่านับที่ภูมิพฤหัส บ้างก็ว่าอย่างอื่น ต่างคนก็ถกเถียงไปมาไม่ยุติลงได้

โหรหลายคนที่เก่งๆจึงบอกศาลา ไม่ยอมเล่นทักษาจรเพราะเอาส่ำไม่ได้ คงเล่นแต่ทักษาวันเกิดเพียงเท่านั้น เพราะไม่ยุ่งยากอะไร อีกประกาหนึ่งการจัดภูมิทักษาของไทยก็น่าอัศจรรย์ มีส่วนถูกต้องพอเชื่อถือได้ อย่างไรก็ดีโหรสากลและโหรรุ่นใหม่หลายคนปัดทักษาทิ้งไปเลยไม่ยอมเล่น  โดยพิจารณาถึงคุณภาพของดาวพระเคราะห์แต่อย่างเดียวเท่านั้น

แม้จะมีคนตำหนิกันมาก แต่ก็ยังหาตัวผู้คัดค้านอย่างมีเหตุผลไม่ได้ จึงขอเสนอทักษาไว้ให้ท่านผู้อ่าน เพื่อช่วยกันพิสูจน์ค้นคว้าต่อไป เพราะเรื่องทักษาและทิศประจำภูมิทักษานี้มีอยู่ในคัมภีร์โหรโบราณ และมีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์หลายตอนด้วยกัน ย่อมจะมีส่นสำคัญเป็นทีเด็ดของโหรไทยอยู่ ถ้าไม่ดีจริงคงจะไม่นิยมยืนนานนับเป็นหลายร้อยปี เช่นนี้เป็นแน่  สำหรับตัวข้าพเจ้ายังคงใช้ทักษาเฉพาะทักษาเดิม ส่วนทักษาจรไปตามปีนั้นเลิกเล่นโดยสิ้นเชิง



ทิศประจำภูมิต่างๆ นี้ ชนโบราณนับถืออย่างมาก ถือว่าทำอะไรไม่ถูกต้องโฉลกตามทักษามักเกิดโทษ เช่นเกิดวันจันทร์ ภูมิอาทิตย์คือทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นกาลกิณี จะเดินทางไปทำมาหากินทิศนี้ หรือยกทักทัพ หรือเดินทางผจญภัยย่อมเกิดโทษ  แต่ภูมิอาทิตย์นี้ย่อมเหมาะสำหรับคนเกิดวันพฤหัสบดี เพราะจะทำให้ภูมิอาทิตย์หรือทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นศรี ย่อยเกิดคุณเอนกประการแก่คนเกิดวันพฤหัสบดีนี้

คนสมัยใหม่นิยมใช้ทิศประจำภูมิทักษานี้ประกอบในการปลูกบ้านใหม่ หรือตั้งโต๊ะทำงาน หรือออกรถใหม่ โดยจะไม่ยอมหันไปสู่ทิศกาลกิณีต่อวันเกิดของตนเป็นอันขาด ส่วนทิศอื่นๆนั้นย่อมไม่เกิดโทษแต่ประการใด

เรื่องของวันให้คุณและให้โทษก็เช่นกัน ทานถือเป็นข้อยกเว้นตายตัวว่า คนเกิดวันใด ห้ามมิให้ทำงานมงคลหรือเริ่มกิจการสำคัญ ในวันกาลกิณีของตนเป็นอันขาดดังนี้

คนเกิดวันอาทิตย์ ห้ามทำการ วันศุกร์ หรือ ทิศเหนือ
คนเกิดวันจันทร์ ห้ามทำการ วันอาทิตย์ หรือ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
คนเกิดวันอังคาร ห้ามทำการ วันจันทร์ หรือ ทิศตะวันออก
คนเกิดวันพุธ(กลางวัน) ห้ามทำการ วันอังคาร หรือ ทิศตะวันออกเฉียงใต้
คนเกิดวันพฤหัสบดี ห้ามทำการ วันเสาร์ หรือทิศตะวันตกเฉียงใต้
คนเกิดวันศุกร์  ห้ามทำการ วันพุธกลางคืน หรือทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
คนเกิดวันเสาร์  ห้ามทำการ วันพุธ  หรือ ทิศใต้
คนเกิดวันพุธกลางคืน  ห้ามทำการวันพฤหัสบดี หรือ ทิศตะวันตก

วิธีสังเกตภูมิทักษา สังเกตง่ายโดยดูภูมิแผนผัง ทิศศรีและทิศกาลกิณะจะต้องเล็งกันหรืออยู่ตรงข้ามกันเสมอ โบราณถือเป็นดาวธาตุเดียวกัน ท่านแยกแยะธาตุไว้ดังนี้

๑ กับ ๗  ธาตุไฟ
๒ กับ ๕  ธาตุดิน
๓ กับ ๘  ธาตุลม
๔ กับ ๖  ธาตุน้ำ

ต่างก็จับคู่เป็นธาตุเดียวกัน และถือว่าดาวคู่นี้เมื่อกุมกันย่อมให้คุณ ยิ่งอยู่ในราศีธาตุเดียวกันแล้วย่อมให้คุณยิ่งใหญ่มาก เรืยกว่าอสีติธาตุ  แต่บัดนี้เรื่องธาตุมีข้องพิจารณาแยกแยะเปลี่ยนแปรไป ด้วยมีดาวใหม่เพิ่มขึ้นอีก ๓ ดวง คือ มฤตยู เนปจูน และ พลูโต และมีเกษตรประจำเรื่อนราศีแน่นอน ไม่ต้องยุ่งยากเรื่องดาวพระเคราะห์ครอง ๒ เรือนอีกต่อไป จึงให้ดาวเกษตรในราศีนั้นๆครองธาตุประจำราศีแน่นอนเสียเลย เมือนำมาทำนายแล้วได้ผลแม่ยำมาก ซึ่งจะกล่าวต่อไปข้างหน้า


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น