โดย พลูหลวง
จาก ปฐมภาคแห่งโหราศาสตร์
22 กุมภาพันธ์ 2514
ดาวประเคราะห์ให้คูณและให้โทษ ตามราศีต่างๆ
ดาวพระเคราะห์ที่เป็นเกษตรอยู่ ณ ราศีใด ย่อมถือว่าให้คุณเพราะมีกำลังเข้มแข็ง ย่อมสำแดงความสำคัญให้เกิดขึ้นแก่ราศีหรือภพต่างๆของดวงชาตาเยี่ยมยอดยิ่งกว่าดาวอื่นๆ แต่ดาวเกษตรนี้ถ้าไปสถิตอยู่ราศีตรงข้ามถือว่าให้โทษเรียกว่า "ประ" หรือ "ปรเกษตร" ลักษณะของดาวสถิตเป็นประตามระบบโหราศาสตร์แบบไทยโบราณมีดังนี้
ดาวประแบบใหม่ คือ ตำแหน่งดาวเกษตรใหม่ไปสถิต ณ ราศีตรงกันข้ามกับเรือนตนนั่นเอง
ประ แปลว่า แตกขาด ฉีกทำลาย ดาวประจึงเป็นดาวให้โทษหรือเป็นดาวกันเสื่อมคุณภาพ แม้ไปเกาะกุมกับดาวอะไร ก็จักนำผลมความเสื่อมเสียสู่ดาวนั้นๆด้วย
ส่วนดาวมาตรฐานที่นิยมกันว่ามีคุณดีมากคือดาว มหาอุจจ์ สมัยโบราณมีความมหาอุจจ์มีตำแหน่งดังนี้
ดาวมหาอุจจ์แบบเก่า
มหาอุจจ์ เป็นดาวให้คุณเสมือนบุคคลหนึ่ง ไปมีวาสนาเด่นในภูมิประเทศอีกแห่งหนึ่ง อุจจ์แปลว่าสูง ดาวที่สถิตเป็นอุจจ์จึงมีกำลังสูงเยี่ยม โหราจารย์บางคนนิยมว่า มีกำลังมากยิ่งกว่าเกษตรด้วยซ้ำไป ดาวมหาอุจจ์จึงเป็นดาวมาตรฐาน ซึ่งจำเป็นต้องจดจำเช่นเดียวกับดาวเกษตร ดาวมหาอุจจ์ไปกุมกับดาวอะไรก็นำคุณให้แก่ดาวนั้น
ดาวนิจแบบเก่า
ตำแหน่งดาวนิจก็คือ ตำแหน่งดาวอันอยู่ตรงข้ามกับเรือนที่ตนไปครอบครองเป็นมหาอุจจ์นั่นเอง ดาวนิจคือดาวอันเสื่อมเสียตกต่ำ ไร้อิทธิพลโดยสิ้นเชิง แม้ดาวนิจไปกุมดาวอะไรก็ย่อมเกิดโทษแก่ดาวนั้น
ดาวมหาอุจจ์แบบใหม่นี้ มิได้เปลี่ยนไปจากมหาอุจจ์เดิม แพีงแต่เติมดาวใหม่ไปให้ครบจักรราศีเท่านี้ เปลี่ยนเพียงราหู เพราะราหูเป็นจุดคราสย่อมดับแสงได้แม้อาทิตย์ จึงควรให้ราหูมีกำลังเยี่มในราศีสิงห์ ซึ่งดาวอาทิตย์ครองเป็นดาวเจ้าเรือนอยู่
ดาวเนปจูน เป็นมหาอุจจ์ราศีพิจิก ก็เพราะเป็นธาตุน้ำเหมือนกัน และเนปจูนดาวอืดอาดด้วยเป็นดาวใหญ่ เมื่อไปอยู่เรือนอังคารราศีพิจิกย่อมทำให้เนปจูนมีฤทธิ์เดชมากขึ้น
ดาวมฤตยู เป็นมหาอุจจ์ราศีเมถุนซึ่งเป็นธาตุลมเหมือนกัน ดาวมฤตยูหมายถึงยานหยั่งรู้ ไปอยู่ราศีเดียวกับเกตุอันมารักษาการในตำแหน่งเจ้าบ้านจึงกลมกลืนกันดียิ่ง เพราะเกตุก็เป็นเกาวเกี่ยวกับวิญญาณอยู่แล้ว
ดาวพูลโต เป็นดาวกี่ยวกับฐานหยั่งรู้ อำนาจจิต เป็นดาวแพทย์ ไสยศาสตร์ โหราศาสตร์ เมืออยู่เรือนพฤหัสบดีโาตุไปเหมือนกัน ทำให้พลูโตมีกำลังดีเยี่ยม และมีศักดิ์สูงเพราะได้รับแรงจากดาวพฤหัสบดี
เกตุ เป็นจุดคราสคู่กับราหู ย่อมจะเหมาะสมอย่างยิ่งเมื่อไปอยู่ราศีกุมภ์อันเป็นราศีตรงข้ามกับอาทิตย์นั่นเอง
ดาวนิจแบบใหม่ โดยเฉพาะดาสใหม่ซึ่งเพิ่มเติมลงไป อันเป็นตำแหน่งตรงกันข้ามกับราศีที่ดาวนั้นเป็นมหาอุจจ์ ย่อมสมเหตุสมผล ราหูอันมีอำนาจอาจบดบังแสงอาทิตย์ได้ และเข้ามามีอไนาจเป็นนักเลงดตมหาอุจจ์ในราศีสิงห์เต็มที่ แต่ก็ต้องเสื่อมลงเมื่อไปสถิต ณ ราศีกุมภ์ สุดฟากฟ้าคนและแดนกับราศีสิงห์ เท่ากับอาทิตย์สลักศัตรูออกพ้นตน
ดาวมฤตยู เป็นนิจ ณ ราศีธนู อันมีพฤหัสบดีเป็นเจ้าเรือน ก็เพราะมฤตยูเป็นดาวบาปเคราะห์ร้ายรุนแรงพอกับเสาร์มาอยู่ในเรือนของพฤหัสบดีนักบวจ ย่อมไม่รับการสนับสนุนจากเจ้าเรือนตนเองจึงต้องมาตกต่ำในราศีนี้
ดาวพลูโตเป็นดาวธาตุไฟ มีสภาพเป็นผู้มีญาญหยั่งรู้และเจ้าสมบัติใต้ดิน เมื่อสามารถกลมกลืนกับพฤหัสบดีในราศีธนู จึงต้องเสื่อมเสียในราศีเมถุน ภพตรงข้ามอันเป็นราศีประของดาวพฤหัสบดีด้วยเช่นกัน
ดาวเนปจูนธาตุน้ำเจ้าสมุทร ย่อมไม่เหมาะจะมาอยู่ในราศีธาตุดิน เช่นราศีพฤษภ อันหมายถึงดินดอนนั้น
ยังมีดาวมาตรฐานอื่นๆ อีกตามระบบโหราศาสตร์ไทยที่ถึอว่าให้คุณ คือ มหาจักรมีตำแหน่งดังนี้
ดาวมหาจักรนิยมยกย่องกันว่า ให้คุณแก่ดวงชาตารองลงมาจากมหาอุจจ์ คำว่ามหาจักรมีความหมายถึงอาวุธอันมีกำลังมาก บ่งไปทางมีฤทธิ์เดช แสดงว่าดาวนั้นๆมีกำลังผาดดผนเมื่อสถิตอยู่ ณ ราศีเช่นนั้น ดหรโบราณยกย่องดาวมหาจักรกันมาก
พิจารณาแล้วก็นเห็นดาวอันมาสถตราศีดังกล่าวนี้ มีฤทธิ์จริงๆ คือดาว ๕ มาอยู่เรือนอังคาร ย่อมทำให้ดาว ๕ ซึ่งเป็นดาวศีลธรรมแสดงความอุดมสมบูรณ์ กระฉับกระเฉงขึ้น เท่ากับมีกำลังขึ้นนั่นเอง
ดาว ๖ ตัวกิเลศโลกีย์ความรัก และ ความประณีต ตลอดจนศลปแขนงต่างๆ ย่อมจะเพิ่มพูนบุคคลิกลักษณะดีขึ้น เมือไปอยู่ยังเรือนพฤหัสบดีซึ่งเป็นหนุนท้ายให้ประสบความสำเร็จเสมอ ทำให้ดาว๖ เข้มแข็งและข่วยให้ชีวิตประสบความสะดวกสบายขึ้น
ดาว ๓ ตัวบุ่มบ่าม และโทสะจริต ต้องไปอยู่ยังเรือนพุธซึ่งเป็นสมองฝ่ายยับยั้งช่างใจ จะช่วยทำให้ดาวอังคารมีสติเกิดขึ้น และย่อมเกิดคุณประโยชน์แก่ดาวอังคารนั่นเอง
ดาว ๔ สมองและสติปัญญาไปอยู่ทีใดไม่เหมาะเท่ากับอยู่เรือนของดาวอาทิตย์ ซึ่งเป็นธาตุไฟและต้นกำเนินดของพลังงานทั่วไปในระบบสุริยะ ทำให้พุธเกิดความปราดเปรียวว่องไวและหลักแหลมยิ่งขึ้น
ดาว ๑ สถิตราศีกรกฎ เรือนของจันทร์ ย่อมเข้มแข็งด้วยอาิตย์ย่อมเป็นใหญ่เหนือสรรพสิ่งทั้งปวง แม้จันทร์ซึ่งเป็นใหญ่บนท้องฟ้าย่อมเป็นรอง อาทิตย์อยู่ในเรือนจันทร์ย่อมผ่อนคลายรัศมีความร้อนแรงลงไปบ้าง ทำให้เกิดพลังงานพอดีและเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
เนื่องจากยังมีดาวอีก ๓ ดวง ยังไม่ได้รับการบรรจุเข้าตำแหน่งมหาจัร ข้าพเจ้าจึงจัดให้มีตำแหน่งเสียจนครบตามลักษณะที่จะส่งคุณประโยขน์อย่างดียิ่ง เมื่อเข้าสถิตราศีนั้นดังนี้
ดาวเนปจูน อันเป็นดาวหมายถึง สังคม และ ศิลป ไปอยู่ในราศีตุลย์อันมีศุกร์เป็นดาวเกษตร ย่อมช่วยส่งเสริมเนปจูนอย่างยิ่ง
ดาวมฤตยู ธาตุลม ตัวจินตนาการ ความฟุ้งฝัน เมือมาสถิตราศีมีน อันมีดาวเนปจูนเจ้าแห่งศิลปเป็นเจ้าเรือนอยู่ จึงเหมาะสมสามารถทำให้ความคิดฝันนั้นเกิดจริงจังขึ้นได้ในรูปผลิตผลของงานศิลป์
ดาวพลูโตตัวอาตมัน และนักสะสมตัวยง ย่อมจะแสดงคุณภาพเด่นเมื่อไปอยู่ในเรือนมฤตยู เพราะทั้งคู่เป็นดาวเกี่ยวกับอำนาจจิต ความเร้นลับ และไสยศาสตร์อยู่แล้ว จนอาจทดเแทนกันได้ในบางกรณี ดาวคู่นี้มีอำนาจฤทธิ์เดชคล้ายคลึงกัน เป็นแพทย์ จิตศาสตร์ ของเก่าแก่โบราณ และญานหยั่งรู้
ตำแหน่งดาวที่ยกย่องว่าให้คุณตามคติโหรไทยโบราณ ยังมีอีกดังนี้
ตำแหน่งอุจจาวิลาศ ก็คือตำแหน่งดาวมหาอุจจ์อันถอยหลังมาสถิตอยู่ในเรือนวินาศน์จากเรือนอุจจ์ของตนนั่นเอง ดังเช่น อาทิตย์อยู่ราศีเมษเป็นมหาอุจจ์ เรือนวินาศนะของราศีเมษคือมีน เมื่ออาทิตย์ถอยหลังมาอยู่ จึงยกย่องว่าเป็น อุจจาวิลาศ ย่อมให้คุณแก่ดวงชาตา รองลงมาจากมหาอุจจ์
อันที่จริงเรือนวินาศนะของตำแหน่งมหาอุจจ์ ก็คือราศีอังดาวพึ่งจะย่างเข้าสู่ราศีอุจจ์ คล้ายกับปากประตูจะเข้าสู่ตำแหน่งเถลิงอำนาจ จุดที่ก้าวเข้ามานั้นย่อมสำคัญมาก คล้ายกับจะได้เป็นนายทหารสัญญาบัตร ก็จะต้องเข้าสู่ตำแหน่งว่าที่เสียก่อน ตำแหน่งนี้จึงสำคัญมาก ใตำราโหราศาสตร์ของอียิปต์เมื่อหลายพันปีมาแล้วก็มีการกล่าวถึงดาวอันจะย่างเข้าสู่ราศีอุจจ์ของตนว่า เป็นดาวอันมีศักดิ์สูงและถือว่า มีความสำคัญมาก
เนื่องจากเรามีตำแหน่งอาอุจจ์เพิ่มเติมขึ้นมาจากดาวใหม่สามดวง จึงเห็นสมควรวางดาวอุุจจาวิลาศแบบใหม่เพิ่มด้วย เพื่อให้เกิความสมบูรณ์ทันยุคสมัยดังนี้
ดาวราชาโชค
ดาวมาตรฐานอีกแบบหนึ่งเรียกว่า ราชาโชค นิยมนับถือกันว่าถ้าดาวสถิตอยู่ยังตำแหน่งดังนี้ ย่อมให้คุณพอๆกับมหาจักร ดังแผนผังนี้
ดาวในตำแหน่งราชาโชคนี้ โหรไทยบางคนซึ่งล่วงลับไปแล้ว ยกย่องมากว่า เป็นดาวอันให้คุณอย่างยิ่ง โหรผู้นั้นคือ อายัณโฆษ ข้าพเจ้ายังคลำหาสาเหตุอันแท้จริงในการจัดรูปดาวแบบราชาดชคนี้ไม่พบ จึงของดเว้นไม่แสดงความคิดเห็นหรือเพิ่มเติมลงไป รู้มาแต่เพียงว่า ตำแหน่งดาวเรียงไปตามลำดับ ชื่อของยามกลางวันและการสถิตอยู่ราศีต่างๆ ก็เห็นว่ากลมกลืนกับสภาพดาวเกษตรราศีนั้นๆ มิฉะนั้นก็เป็นการเพิ่มบารมีแก่ตนเองโดยอาศัยดาวเกษตรราศีนั้นๆ ช่วงส่งเสริม มีอยู่ดวงหนึ่งคือ อัคารเป็นประยังไม่เข้าใจว่าทำไม่จึงยกย่องว่าดี
ดาวพระเคราะห์ล่วงหน้านิจ
ยังมีตำแหน่ดาวอีกตำแหน่งหนึ่งอันคู่ควรแก่การสนใจ คือตำแหน่งดาวพระเคราะห์ล่วงหน้านิจ ซึ่งอายัณโฆษเขียนแผนผังไว้ดังนี้
ท่านผู้รจนาข้อความเป็นมาของพระเคราะห์ล่วงหน้านิจนี้ให้ชื่อว่า "ทวาติกกนิจ" ถือว่าดาวยตำแหน่งนี้มีควาดคู่ธาตุและคู่สมพลแบบโบราณเล็งยันกันนั่นเอง
อันที่จริงตำหน่งดาวพระเคราะห์ล่วงหน้านิจนี้ก็คือราศีที่ดาวพระเคราะห์ ก้าวหลุดพ้นออกจากความเป็นนิจนั่นเอง เปรียบเสมือนคนที่ก้าวหลุดพ้นจากประตูคุกออกมา ก้าวแรกที่สู่อิสรภาพย่อมเป็นก้าวแห่งความเปรมปรีดิ์เกษมสำราญยิ่งนัก จึงเป็นดาวพระเคราะห์ที่ควรยกย่องอยู่ และสมเหตุสมผลตามหลักธรรมชาติและเมื่อตรวจเกษตรก็มีเช่น ดาวศุกร์ ข้าพเจ้าขอยกย่องดายพระเคราะห์ล่วงหน้านิจ ว่ามีคุณสมบัติดีด้วยอีกคนหนึ่ง และได้เพิ่มเติมแก้ไขให้เหมาะสมกับสภาพมหาอุจจ์และนิจแบบใหม่ โดยวางรูปดาวพระเคราะห์ล่วงหน้านิจเสียใหม่ดังนี้
พระเคราะห์ล่วงหน้านิจนี้ หมายถึง ความมีอิสระเสรี กล้าหาญดุจดังบุคคลอันก้าวพ้นออกมาจากประตูคุก
เช่น ดาวพุธ เป็นดาวนักพูด การเจรจา ลักษณะท่าทางเมื่ออยู่ราศีเมษ ทำให้เป็นคนกล้าหาญ กล้าพูดกล้าทำไม่เกรงกลัวใคร ซึ่งเรียกว่า พุธราศีเมษว่า พุธนักเลง
ดาวศุกร์ ราศีตุลย์ มีตำแหน่งเป็นเกษตรทำให้เป็นคนร่าเริง ไม่รู้จักความทุกข์
ดาวจันทร์ ราศีธนู ทำให้จันทร์เด่นเป็นสง่า ด้วยเป็นเรือนของดาวพฤหัสบดี ย่อมสนับสนุนจันทร์อย่างดี
อาทิตย์ อยู่ในเรือนอังคาร ทำให้อาทิตย์กล้าแข็งเป็นนักเลยไม่กลัวเกรงใครตั้งนี้เป็นต้น
ยังมีดาวพระเคราะห์ อีกสองแบบ ซึ่มีกล่าวถึงในคัมภีร์อียิปต์โบราณ ถือว่าเป็นจุดเสื่อม หรือ จุดด้อยของพาวพระเคราะห์นั้นๆ ดังนี้
ดาวพระเคราะห์ย่างเข้าสู่ราศีเป็นนิจ ก็เปรียบเสมือนนักโทษกำลังจะเดินเข้าสูตะรางนั่นเอง ผู้มีพระเคราะห์แบบนี้จึงมักแสดงความหดหู่ปราศจากสง่าราศี และไม่่สู้ให้คุณเท่าใดนัก ดาวพฤหัสบดีเป็นเกษตรน่าจะให้คุณ แต่ก็เห็นมามากว่ามักจะล้มลุกคลุกคลานเสียก่อนในเบื้องต้น แล้วจึงจะสนองคุณในบั้นปลาย ทั้งนี้เพราะดาวพฤหัสบดี เป็นดาวเกี่ยวกับวัยสูงอายุ ระยะ 50-60 ปี จึงสำแดงคุณเมื่อสูงอายุแล้ว ส่วนระยะวันต้นๆ พฤหัสบดี ไม่สามารถช่วยเหลือได้
ดาวพระเคราะห์พ้นจากราศีอุจจ์ เสมือนคนที่เสวยสุขในสวรรค์แล้วจะต้องจุติไปสู่ภูมิอันต่ำกว่า ย่อมมีการโศกเศร้า ปริเวทนาการเป็นของธรรมดา ถือว่าเป็นสภาพอันหดหู่ไม่ให้คุณ เช่นเดียวกับดาวที่จะย่างเข้าสู่ราศีนิจนั้น
ตามมาตรฐานทั้งดีและเลวดังได้พรรณามานี้ เห็นได้ว่าโหรโบราณท่านยกย่องดาวมหาอุจจ์ไว้เสียเลิศล้น ทั้งนี้เนื่องจากสังเกตว่าดาวตำแหน่งดังกล่าวให้คุณอย่างแท้จริงนั่นเอง ส่วนดาวอันเกิดโทษท่านก็เห็นประจักษ์มาแล้ว จึงได้บันทึกแลจำจำกันมาตราบทุกวันนี้ ที่จริงยังมีดาวอันให้คุณแบบอื่นอีกเช่นเรียกว่า อุจจาภิมุข และ เทวีโชค ซึ่งเห็นเว่าไม่เกิประโยชน์อะไร และพิจารณตำแหน่งดาวก็ตรงกับดาวทีให้คุณดังพรรณามาแล้ว จึงมิได้แนะนำในที่นี้
ดาวอันให้คุณโดยแท้ก็คือ ดาวเกษตร และ มหาอุจจ์
ส่วนดาวให้โทษคือ นิจ และ ประ
จำได้เพีงสองอย่างก็พอเพียงแล้วในการพิจารณาดวงชาตา ก็ถืออุจจ์และเกษตรเป็นหลักการสำคัญเสมอ ส่วนดาวมาตรฐานอื่นๆเป็นส่วนประกอบเท่านั้น
ดาวอุจจ์และเกษตรเมื่ออยู่ด้วยกันย่อมวุ่นวาย สร้างความปั่นป่วนให้แก่ดวงชาตา เปรียบเสือนบ้านที่มีเจ้าของบ้านประจำอยู่ แล้วมีคนอื่นเข้ามเป็นใหญ่ในบ้าน ย่อมสร้างความชอกข้ำใจแก่เจ้าของบ้านเป็นของธรรมดา ดังดวงตัวอย่างที่ 2 มีดาวศุกร์เกษตร(ราศีตุลย์) และเสาร์มหาอุจจ์อยู่ราศีเดียวกัน ส่งผลให้เจ้าชาตาล้มลุกคลุกคลานไม่อาจตั้งตัวได้
ดาวเกษตรต่อเกษตรเล็งกัน ก็ไม่นิยมว่าดีทำให้ดวงมีมึมหัก เกิดเรื่องยุ่งยากอยู่เสมอ เพราะดาวอันมีศักดิ์สูงเล็งกันนั่นเอง เท่าที่เคยพบมาก็เห็นว่ายุ่งยากเดือดร้อนจริงๆ
ดาวมหาอุจจุต่อมหาอุจจ์เล็งกัน ก็ไม่ดี ชีวิตจะเดือนดร้อนแสนเข็ญและลำบากาก แม้ว่าดวงชาตาจะดีเด่นด้วคุณภาพดาวมหาอุจจ์ให้คุณ แต่ก็ส่งความยุ่งยามให้มิได้เว้น
ตัวอย่างดาวเกษตรเล็งกัน
สตรีผู้นี้มีดาวเกษรถึง 2 ดวง คือดาว ๒ และ ๗ อิทธิพลของดาวเกษตรส่งผลให้เกิดมาตระกูลสูง ฐานะดี ได้รับมรดกที่ดินราคาแพง แต่ดาวเกษตรเล็งกันส่งผลวิบัติให้ ภายหลังถูกโกงที่ดิน ชีวิตประสบมรสุมร้ายต้องโยกย้ายบ้านสิบกว่าครั้งขึ้นไป ชีวิตล้มลุกคลุกคลานเดือนดร้อนแสนสาหัส
นี่ก็อีกดวงหนึ่ง มีเกษตรสองดวงเล็งกัน เคยมีฐานะดีแต่งงานกับชายร่ำรวย ภายหลังหย่าร้างกัน แล้วมาแต่งงานใหม่ ชีวิตประสบชาตากรรมแสนสาหัส โยกย้ายบ้าน 10 กว่าครั้ง และบางครั้งถึงแก่อดมื้อกินมื้อ บทจะมีเงินก็มีมากมาย แต่บทอดก็มีติตัวเลยแม้แต่แดงเดียว
ดวงนี้ดาวมหาอุจจ์ ๑ และ ๗ เล็งกัน ทำให้ชีวิตเหมือนบ้านแตก เจ้าชาตาเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัย เคยเดินทางไปต่างประเทศ กลับมารับตำแหน่งสูงแต่แล้วต้องเกิเรื่อเศร้าด้วยภรรยามีชู้ ต้องหย่าร้างแยกทางกันเดินทั้งที่ยังคงอยู่บ้านเดียวกันนั่นเอง เป็นเรื่องระทมขมขื่นยิ่งนัก
ท่านผู้นี้มีอำนาจชื่อเสียงในชุมนุมหนึ่งอันมีชื่อเสียงของประเทศ แต่ภายหลังต้องตกจากอำนาจเพราะเนื่องจากการกระทำของตนเอง ให้สังเกตว่าในดวงชาตามีมหาอุจจ์เล็งกันในราศีทวารถงลัคนาดดยตรง ทำให้ต้องเสื่อมเสียในบั้นปลายจนได้
อิทธิพลของดาวมหาอุจจ์ และ ดาวนิจในชาตา
๑ อาทิตย์ ถ้าเป็นอจจ์มักส่งผล ให้เป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูง ชอบทำงานใหญ่ และจะได้เป็นใหญ่สมความปรารถนา มักเป็นคนหยิ่งถือตัว อาทิตย์อุจจ์ส่งเสริมให้ดวงชาตาดีเด่นมีวาสนาบารมีดีมาก ดวงชาตาที่มีอาทิตย์เป็นมหาอุจจ์ มักชำแรกดันตัวเองให้รุ่งเรืองได้
ส่วนอาทิตย์เป็นนิจ มักตกจากตำแหน่ง มักมีปมด้อย มักถูกข่มเหงคะเนงร้าย เคยพบในดวงชาตาของรัฐบุรุษ หรือ กษัตริย์ที่ตกจากอำนาจโดยการปฏิิวัติหรือรัฐประหาร ทั้งนี้ก็เนื่องจากมีดาว ๑ เป็นนิจอยู่ในดวงชาตานั่นเอง
กษัตริย์แหงรัสเซียสมัยก่อนการปฏิวัติผู้นี้ มีความสามารถอันยิ่งยงแม้เป็นสตรีก็ยังแผ่อำนาจไปได้ไพศาล นำประเทศต่างๆตกอยู่ใต้อำนาจมากมาย ทั้งนี้ก็เนื่องจากมีดาวอาทิตย์เป็นมหาอุจจ์อยู่ในดวงชาตานั่นเอง ทำให้พระนางต้องการมีพระราชอำนาจยิ่งยงมากขึ้นๆไปอย่างไม่รู้จบสิ้น อิทธิพลของดาวอาทิตย์มหาอุจจ์มีอานุภาพถึงปานนี้ เมื่อเวลาโหรไทยจะวางฤกษ์ฝังหลักเมืองบางกอก จึงต้องรอให้อาทิตย์โคจรเป็นมหาอุจจ์เสียก่อน เพื่อหวังให้ดวงเมืองดีเด่นและมีอำนาจมั่นคงนั่นเอง
อาวอาทิตญืถ้าเป็นนิจ หากเป็นดวงสตรี มักจะเป็นหม้ายด้วยอาทิตย์หมายถึงสามี มักจะได้คู่ที่ต่ำกว่าตนเอง หรือมีคู่อายุสั้นหรือคู่ครองเป็นหม้ายอย่างใดอย่างหนึ่ง ดวงชาตาของรัฐบุรุษอันมีดาวอาทิตย์เป็นนิจ จำต้องตกจากตำแหน่งมีดังนี้คือ เจ้านโรคมสีหนุ ถูกรัฐประหาร . รมต.ทองอินทร์ ภูริพัฒน์ ถูกตำรวจการเมืองจับตัวไปยิงตายที่หลักสี่ , นายทรอตสกี้ หัวหน้าใหญ่คอมมิวนิต์รัสเซียถูกแย่งอำนาจ ต้องออกไปอยู่ยังต่างประเทศและท้ายที่สุดก็ถูกลอบฆ่าตายจนได้
ดาราบางคนมีอาทิตย์เป็นนิจ โด่งดังขึ้นมาชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น แล้วก็ตกกระป๋องเงียบหายไปเลย อาทิตย์นิจจึงต้องระวังอย่างยิ่ง เพราะส่งผลให้ดวงชาตาเปราะ ถูกศัตรูย่ำยีได้ง่าย ถ้าทำตนเด่นขึ้นมาก็จะถูกกดอย่างรุนแรง และ ชีวิตมักมีอุปสรรคเสมอ ในดวงสตรีจะต้องเดือดร้อนเรื่องคู่ และดวงทั่วๆไปมักแสดงผลว่ากำพร้าบิดา หรือ บิดขี้เมาหยำเป หรือ พิการอย่างใดอย่างหนึ่ง เจ้าชาตาจะมีปมด้อยเกี่ยวกับบิดา
๒ ดาวจันทร์ เป็นมหาอุจจ์ มักมีเสน่ห์ มักมีคนนิยมชมชอบ เท่าที่พบมาส่วนใหญ่มักเป็นคนเจ้าอารมณ์อ่อนไหวง่าย บุคคลที่มีจันทร์เป็นมหาอุจจ์อยู่ในดวงชาตาคือ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศล้านภาลัย , พระเจ้าอู่ทอง , สมเด็จพระเจ้าห้ามหาวชิรุณหิศ , หลวงวิจิตรวาทการ , นายประยงค์ ตั้งตรงจิตเศรษฐีผู้ใจบุญ นอกจากนี้ลักษณะจันทร์มหาอุจจ์ ยังแสดงอิทธิเข้มแข็งเด็ดขาดอีกด้วย
๓ อังคารเป็นมหาอุจจ์ มักกล้าแข็ง เป็นทหารหรือวิศวกรดี ขยันขันแข็งไม่เกียจคร้าน บุคคลสำคัญที่มีดาวอังคารเป็นมหาอุจจ์คือ สมเด็จกรมพระยาเทววงค์วโรปการ , สมเด็จพระสัฆราช(สา) , อัลแบร์ต ไอน์สไตน์ , ประธานาธิบดีโรสเวลต์ , นายครุสเซฟ , นายพลเดอโกล , พระยาอนุมานราชธน และ พระยาบริรักษ์เวชชการ เป็นต้น
๔ พุธ เป็นมหาอุจจ์ มักสนใจทางหนังสือ ความคิดไตร่ตรองสุขุม หนักแน่น ไม่รวนเรได้ง่าย ความคิดลึกซึ้ง บุคคลสำคัญทีมีพุธในด้วชาตาคือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้่าอยู่หัว , พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว , สมเด็จพระศรีสรินทรา บรมราชินี , พระพันวสาอัยยิการเจ้า , พลเอก เจ้าพระยารามราฆพ , จอมพลผิน ชุณหวัน , หลวงสารานุประพันธ์ , พลโท ม.ล. ขาบ กุญชร , และพระอุทัย เกลี้ยงเล็ก ซึ่งสอบได้เปรียญ ๙ ประโยคแต่เป็นสามเณร , หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม , หลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญ , พระเทวาภินิมิต , นายพลไอเซนฮาว์
๕ พฤหัสบดี เป็นมหาอุจจ์ มักบึกบึน ยึดม่นในอุดมคติ รักความยุติธรรม และมักจะเอาแต่ใจตนเองเป็นใหญ่ ม่งมั่นอะไรแล้วจะต้อทำให้ได้ สติปัญญาแตกแาน เป็นการณ์ไกล ดวงบุคคลสำคัญดังนี้ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช , พระยามโนปกรณ์นิติธาดา , จอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์
๖ ศุกร์ เป็นมหาอุจจ์ มักสนใจทางศิลป รสนิยมดี มักมีโชคดีอยู่บ่อยๆ และ ชอบสิ่งประณีต และ เป็นศิลปินเด่น เป็นบุคคลมีวาทะศิลปดีเลิศ ดังดวงบุคคลสำคัญคือ ประธานาธิบดี อับราฮัมลิงคอล์น , สุเทพ วงศ์กำแหง , สมาน กาญจนผลิน นักแต่งเพลง , โชติ แพร่พันธ์(ยาขอบ) , นายควง อภัยวงศ์ , จอห์น สไตน์เบ็ค , สุชีโว ภิกขุ , ป.อินทรปาลิต
๗ เสาร์ เป็นมหาอุจจ์ มักตากตรำ มีทุกข์ใจ งานหนักแต่เข้มแข็งอดทน มักมีที่ดิน ชอบสะสม บุคคลสำคัญ คือ พระปิ่นเกล้าเจ้าอยูหัว , เจ้าพระยายมราช(ครุฑ) , มาลิลีน มอนโร , เมาเซตุง , นายแมคมิลแลน , ดัชเชสแห่งวินเซอร์
๐ มฤตยู เป็นมหาอุจจ์ มักชอบเผชิญภัย เป็นนักกีฬา สนใจวิทยาศาสคร์ จิตศาสตร์ รักอิสระเสรี เป็นนักคิดค้นสิ่งใหม่ๆ และขอบท่องเที่ยวไปยังดินแดงแปลกๆ ดังดวงบุคคลสำคัญคือ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงอุบลรัตน์ราชกัญญาสิริวัฒนา , สมเด็จพระศรีพัขรินทรา บรมราชินีนาถ , มหาตมคานธี , เลนิน , สุนทรภู่
ส่วนสถิติ ดาวเนปจูนกับพลูโต เท่าที่พบมีแต่คนรุ่นใหม่ ซึ่งยังอายุน้อย ยังไม่สำแดงเกียรติคุณใดๆออกมา จะมีก็แต่คนโบราณ อายุเกินกว่าศตวรรษหรือสองศตวรรษขึ้นไป จึงของดเว้นไม่กล่าวถึงคุณวิเศษดาวมหาอุจจ์คู่นี้ เพียงแต่คาดคะเนว่า ดาวเนปจูนเป็นดาวเกี่ยวกับสังคม เป็นเจ้าสมุทร และเป็นดาวเดกี่ยวกับความขลัง เป็นมหอุจจ์ก็คงจะแสดงความดีเด่นเป็นพิเศษในด้านนี้เป็นแน่ ดาวพลูโตก็เป็นดาวเกี่ยวกับ จิตศาสคร์ แพทย์ โหราจารย์ โบราคดี ประวัติศาสตร์ หากว่าเป็นมหาอุจจ์ ก็ย่อมแสงคุณวิเศษทางนี้อย่างแน่นอน ส่วนราหูกับเกตุนั้น มิใช่ดาว แม้เป็นอุจจ์ก็เพียงจะสำแดงโทษหนักข้อยิ่งขึ้นเท่านั้น
ดาวอุจจ์เมือ่ไปอยู่ราศีตรงกันข้าม ย่อมกลายเป็นนิจตกต่ำลง แก็แสดงสภาพเสื่อมของดาวนั้นๆ จะขอพรรณาอย่งย่นย่อดังนี้
อังคารเป็นนิจมักขี้โรค ท่าทางไม่สง่าผ่าเผย ไม่เข้มแข็ง มักเห็นผิดเป็นขอบ แต่ก็ดีอยู่อย่างหนึ่งคือ ไม่บุ่มบ่าม กลายเป็นคนรอบคอบ มีเหตุผลดี และไม่ดันทุรัง
พุธเป็นนิจ มักไม่ประหยัดนัก ทำอะไรลนๆ ออกจะขาดเหตุผล บริวารมักก่อเรื่องยุ่งยากเสมอ
พฤหัสบดี เป็นนิจ มักกำพร้า ผู้ใหญ่มักให้โทษ เจ้าตัวหย่อนศีลธรรม ดีอยู่อย่างคือไม่ดื้อรั้น เหมือนกับพฤหัสบดีเป็นมหาอุจจ์ รู้จักเข้าใจเหตุผลคดีโลกดี มักเป็นคนดิ้นได้รอบตัวรู้จักพลิกแพลง
ศุกร์ เป็นนิจ ความรักมักเศร้าหมอง ขีวิตอมทุกข์ เปลี่ยนคู่บ่อย มักอกหัก หญิงระวังเป็นโรดมดลูก อาภัพบุตร
เสาร์ เป็นนิจ ดีอยู่อย่างหนึ่ง คือผ่อนคลายความทุกข์ลงบ้าง แต่ความอดทนอย่อนลง มักมีโรคประจำตัว และมักแผลงๆ ความคิดฟุ้งซ่าน
มฤตยู เป็นนิจ มักไม่ค่อยคิดการณ์ไกล ขอบขบปัญหาเฉพาะหน้า ทำอะไรหุนหันพลันแล่น มักพลาดพลั้นเสมอ มักมีศัตรูมาก
เนปจูน เป็นนิจ ในบั้นสุดท้ายจะกลายเป็นคนเก็บตัว แสดงอะไรต่ออะไรอยู่เบื้องหลัง มักรับอันตรายหรือรับทุกข์จากทางน้ำ
พลูโต เป็นนิจ ทำให้ชีวิตประสบชาตากรรมผันผวน ไม่แน่นอน เปลี่ยนแปลงที่อยู่บ่อยๆ มักระเหระหนไปยังแดนไกล และเก็บงำสมบัติไม่ค่อยอยู่ มักล้มละลาย หรือถูกโกง
ส่วนดาวเกษตรนั้นมีคำพยากรณ์แบบเดียวกับมหาอุจจ์ นั่นเอง เช่นอาทิตย์เป็นเกษตร มักชอบจับงานใหญ่ ขอบเป็นหัวหน้า ถือตน อวดดี มีคนเกลียดชังมาก
ทำไมคนอาทิตย์เป็นเกษตรและมหาอุจจ์ จึงก่อศัตรูและมีคนเกลียดชัง ก็เพราะว่าบุคคลพวกนี้ มักจะเอาแต่ใจตนเองมักเห็นว่าไม่มีใครวิเศษไปกว่าตน ทำอะไรเป็นไปทำนองยกตนข่มท่าน เพราะอาทิตย์เป็นดาวใหญ่ เป็นผู้ให้กำเนิดดาวนพเคราะห์ทั้งปวง เป็นหัวหน้าในสิริยระบบของเรา อาทิตย์จึงไม่ยอดลดหัวให้แก่ผู้ใด ดวงชาตาผู้ใดถ้าดาวอาทิตย์เสื่อมคือเป็นประเป็นนิจก็ดี หรือไปสถิตอยู่ในภพอริ มรณะ วินาศนะ ก็ดี มักไม่แบ่งและเข้ากับใครๆได้ และเป็นคนไม่ถือตัว ลูกน้องรักใคร่ การวินิจแัยดวงชาตาจึงควรเพ่งเล็งข้อนี้ให้มาก
ดาวพฤหัสบดี ก็เช่นกัน ดาวดวงนี้โบราณชนท่านใช้พิจารณาถึง บุคคลว่าใครดีมีศีลธรรมแค่ไหนก็ดูจากดาวดวงนี้ แต่ควรจะทราบให้ถ่องแท้เสียว่า ดาวพฤหัสบดีมิใช่ตัวปัญาหรือความหลักแหลมใดๆทั้งสิ้น หากแต่เป็นดาวบ่งบองถึงคุณธรรมและความยุติธรรมเป็นที่ตั้ง ดาวที่แสดงถึงสติปัญญา ปฏิภาณชวนะดีเลิศก็คือดาวพุธ ด้วยเหตุนี้เมื่อพฤหัสบดีกุมลัคนา จึงส่งผลให้บุคคลนั้ค่อนข้างโง่ทึบไม่ค่อนทันคน เนื่องจากดาวพฤหัสบดีเป็นดาวฝ่ายบวก และฝ่ายแสดงความอุดมสมบูรณ์จึงทำให้กลายเป็นโลภ หวังละโมบโดยปราศจากสติไตร่ตรองถึงอะไรควร อะไรไม่ควร
ดาวพฤหัสบดีมหาอุจจ์กุมลัคนา ยิ่งเพิ่มศัตรูและความไม่ชอบหน้า แก่บุคคลร่วมงานตน เพราะว่าดาวพฤหัสบดีเป็นเจ้าเรือนอริจากราศีธนู มากุมลัคนาเป็นมหาอุจจ์ ย่อมนำอิทธิพลความเป็นอริมาสู่ลัคนาของตนด้วย ทำให้ชีวิตประสบแต่อุปสรรคทำอะไรทือๆขาดเหตุผล อันที่จริงบุคคลพฤหัสบดกุมลัคนจะมีเหตุผลในตน หากแต่ไม่แสดงออกมาให้คนอื่นเห็น จึงกลายเป็นมักได้ในบางสิ่งบางอย่าง คือมุ่งแต่จะเอาท่าเดียวหาได้คิดไม่ว่าจะเกิดผลเสียหรือมีคนติแินนินทาแต่อย่างใดไม่ บางครั้งดาวพฤหัสบดีมหาอุจจ์กุมบัคนา อาจจะกลายเป็นคนอกตัญญูไม่บำรุเลี้ยงดู้บิดามารดาหรือผู้มีพระคุณ ทำให้เป็นที่ตำหนิแก่วงญาติ ทั้งนี้ก็เพราะเขามีความกตัญญูอยู่่ในใจ และยังไม่มีกำลังเงินและฐานะดีพอจะทำการอุปถัมภ์ตอบแทนผู้มีพระคุณ และก็มีเหตุผลว่าท่านเหล่านั้นอยู่สบายดีแล้วมีคนเอาใจใส่ดีแล้ว ตนเองจึงไม่แสดงออกหน้าออกตาแต่อย่างไร เพราะบุคคลดาวพฤหัสบดีไม่ชอบเล่นละคร เหตุนี้จึงถูกคนมองในแง่ร้ายเสมอ
ดาวพฤหัสบดีจะส่งผลดีให้ในมุมตรีโกณ ถ้าพฤหัสบดีส่งกระแสตรีโกณให้ จะทำให้ชีวิตรุ่งเรืองดีมาก
ดาวศุกร์ เป็นประ ก็เช่นเดียวกับศุกร์เป็นนิจ ทำให้ชีวิตสมรสเศร้าหมอง มักกำพร้า หรือไร้คู่ หรือผิดหวังบ่อยๆ ดาวศุกร์เป็นดาวที่นำความร่าเริงบันเทิงใจมาสู่ชีวิต ถ้าอยู่ในมาตรฐานอันดี คือเป็นเกษตรหรืออุจจ์และสัมพันธ์ดีต่อลัคนา ย่อมยังความแจ่มใสให้แก่ชีวิตอย่างแน่นอน
สภาพความเป็นประ หรือนิจนี้ ย่อมส่งผลร้ายให้ปานๆกัน เราจึงควรกำหนดจดจำ มาตรฐานดาวดีและดาวเสื่อมเหล่านี้ไว้ให้แม่นยำ เมื่อเห็นเข้าต้องดูให้ออกทันที จึงจะพายกรณ์ได้ถูกต้อง
ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์(จิตรกรรม) ปี 2535 และ โหราจารย์
วันพุธที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2561
วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2561
อวัยวะประจำภพของจักรราศี
โดย พลูหลวง
ปฐมภาคแห่งโหราศาสตร์
22 กุมภาพันธ์ 2514
อวัยวะประจำภพของจักรราศี
ตามจักรราศีนั้นถือว่า ลัคนาประจำจักรราศีอยู่ ณ ราศีเมษ ด้วยเหตุนี้อวัยวะประจำจักรราศี จึงเริ่มต้นจากจุดเริ่มต้นคือ ราศีเมษ จากส่วนศีรษะเรื่อยลงไปจนถึงราศีมีนเท้่า คล้ายจับคนมาขดไว้เป็นรูปวงกลม ดาวพระเคราะห์เกษตรประจำจักรราศีกายวิภาพนี้ จึงเป็นตัวแทนของอวัยวะส่วนนั้นๆด้วย อิทธิพลของอวัยวะประจำจักรราศีนี้สำคัญมาก หากดาวบาปพระเคราะห์สถิตอยู่ราศีใดก็มักส่งผลเสื่อมแก่อวัยวะนั้นๆเสมอ
ดังตัวอย่างเช่น
จากดวงนี้ให้สังเกตว่า มีบาปเคราะห์ร้าย ๓ ๗ ๘ ไปรวมกระจุกอยู่ ณ ราศีกันย์ อันเป็นราศีเกี่ยวกับมดลูก ท้อง ฯลฯ ส่งผลให้ต้องมีการผ่าตัดมดลูกออก ด้วยเป็นมะเร็งที่มดลูก
เนื่องจากบาผเคราะห์กุมลัคนาอยู่มาก จุดลัคนาคือสุขภาพ เป็นผลให้เจ้าชาตาสุขภาพไม่ดี ต้องเป็นหอบหืดประจำตัว ร่างกายอ่อนแอมาก
เจ้าชาตาถึงแก่กรรมโดยฉับพลันกระทันหัน ด้วยอิทธิพลของบาปเคราะห์ที่กุมลัคนาถึง สามดวงนั้นเอง และข้อสำคัญขณะที่เจ้าชาตาเกิด มีดาวพลูโต เจ้าเรือนเกษตรราศีเมษภพมรณะลอยอยู่เหนือศีรษะ(ภพที่๑๐)นั่นเอง ดาวพลูโตมรณะจึงสำแดงฤทธิ์ทำให้ต้องตายโดยฉับพลัน
อิทธิพลของดาวพระเคราะห์ร้าย คือบาปเคราะห์ซึ่งจับกลุ่มกันเป็นคู่หรือมากกว่า 2 ดวงขึ้นไป มักช่วยกันเพิ่มกำลังเบียนดวงชาตาอย่างรุนแรงมาก ดาวบาปเคราะห์ที่จับคู่หรือจับกลุ่มมีอยู่ในดวงของผู้ใด ผู้นั้นจะต้องพบอุปสรรคเสมอ ถ้าไม่มีอุปสรรคเกี่ยวกับการดำเนินวิถีชีวิต ก็จะต้องเกี่ยวกับสุขภาพของร่างกาย อันมีจุดเปราะบั่นทอนความสุขของชีวิตเป็นอย่างมาก
ดาวบาปเคราะห์ที่เล็งกันอีกอย่างหนึ่ง ย่อมมีส่วนเบียนดวงชาตาเป็นอย่างมาก ไม่แพ้ดาวกุมกันเลย
ราศีอันเกี่ยวกับเท้า คือ ราศีมีน มีบาปเคราะห์ร้านคู่หนึ่งคือ ๓ และ ๘ ไปครองคู่ ส่งผลให้ต้องพิการที่เท้าโดยเฉพาะ ให้สังเกตว่าดาวเนปจูน เจ้าเรือนราศีมีนเป็นประเสื่มคุณภาพด้วย จึงทำให้เรือนนั้นอ่อนแอมาก
สตรีผู้นี้ ขาพิการตั้งแต่สะโพกข้างขวาลงมา เมื่ออายุ ๕ ขวบเคยหกล้ม ขาข้างขวาหัก เลยสะโพกคราก ต้องเดินโขยกสะโพกตลอดชีวิต
ด้วกนี้เช่นกันจะเห็นว่า มีบาปเคราะห์คู่ศัตรูคือ ๑ ๓ กุมกันอยู่ที่ราศีมังกร ซึ่งเป็นอวัยวะเกี่ยวกับขา หรือกึ่งกลางขาโดยตรง ย่อมให้โทษมาก อีกประการหนึ่งดาว ๗ เจ้าเรือนก็เป็นประ หมดคุณภาพจะคุ้มครองเรือนตนได้
สตรีผู้นี้ปากจัดด่าหยาบคาย ด่าผัวเป็นประจำวัน เลยถูกพี่เขยยิงกรอกปากตายขณะกินข้าว ให้สังเกตว่าราศีเมษเป็นราศีถูกเบียนอย่างหนัก คือ ดาว ๗ เป็นนิจไปครองราศีตน และกาว ๕ เจ้าเรือนภพวินาศนะจ่ากราศีธนูก็มาครองอยู่ ดาว ๕ จึงสำแดงความเป็นวินาศนะร่วมกับดาวเสาร์ด้วย ดาวพลูโตเกษตรราศีเมษก็ถูกดาว ๑ มรณะ(เจ้าเรือนมรณะราศีสิงห์) มากุมทำลายอยู่ ย่อมบั่นทองอย่างหนัก อังราศีเมษหมายถึงศีรษะ เจ้าชาตาจึงได้รับอันตรายเบื้องศีรษะนั้น
ขาซ้ายเป็นโปลิโอ ต้องผ่าตัด
ดวงนี้ ราหูครองอยู่ราศีธนูเป็นจุดเปราะอย่างหนึ่ง ทั้งนี้เพราะดาว ๕ เจ้าเรือนราศีธนูไปกุมดาวมฤดยูบาปเคราะห์และเป็นดาวอริ (เจ้าเรือนภพอริราศีกุมภ์) จึงเกิดโทษมาก ราศีธนูหมายถึงขาและโคนขา อันตรายจึงอยู่ที่นั่น
ปฐมภาคแห่งโหราศาสตร์
22 กุมภาพันธ์ 2514
อวัยวะประจำภพของจักรราศี
ตามจักรราศีนั้นถือว่า ลัคนาประจำจักรราศีอยู่ ณ ราศีเมษ ด้วยเหตุนี้อวัยวะประจำจักรราศี จึงเริ่มต้นจากจุดเริ่มต้นคือ ราศีเมษ จากส่วนศีรษะเรื่อยลงไปจนถึงราศีมีนเท้่า คล้ายจับคนมาขดไว้เป็นรูปวงกลม ดาวพระเคราะห์เกษตรประจำจักรราศีกายวิภาพนี้ จึงเป็นตัวแทนของอวัยวะส่วนนั้นๆด้วย อิทธิพลของอวัยวะประจำจักรราศีนี้สำคัญมาก หากดาวบาปพระเคราะห์สถิตอยู่ราศีใดก็มักส่งผลเสื่อมแก่อวัยวะนั้นๆเสมอ
ดังตัวอย่างเช่น
จากดวงนี้ให้สังเกตว่า มีบาปเคราะห์ร้าย ๓ ๗ ๘ ไปรวมกระจุกอยู่ ณ ราศีกันย์ อันเป็นราศีเกี่ยวกับมดลูก ท้อง ฯลฯ ส่งผลให้ต้องมีการผ่าตัดมดลูกออก ด้วยเป็นมะเร็งที่มดลูก
เนื่องจากบาผเคราะห์กุมลัคนาอยู่มาก จุดลัคนาคือสุขภาพ เป็นผลให้เจ้าชาตาสุขภาพไม่ดี ต้องเป็นหอบหืดประจำตัว ร่างกายอ่อนแอมาก
เจ้าชาตาถึงแก่กรรมโดยฉับพลันกระทันหัน ด้วยอิทธิพลของบาปเคราะห์ที่กุมลัคนาถึง สามดวงนั้นเอง และข้อสำคัญขณะที่เจ้าชาตาเกิด มีดาวพลูโต เจ้าเรือนเกษตรราศีเมษภพมรณะลอยอยู่เหนือศีรษะ(ภพที่๑๐)นั่นเอง ดาวพลูโตมรณะจึงสำแดงฤทธิ์ทำให้ต้องตายโดยฉับพลัน
อิทธิพลของดาวพระเคราะห์ร้าย คือบาปเคราะห์ซึ่งจับกลุ่มกันเป็นคู่หรือมากกว่า 2 ดวงขึ้นไป มักช่วยกันเพิ่มกำลังเบียนดวงชาตาอย่างรุนแรงมาก ดาวบาปเคราะห์ที่จับคู่หรือจับกลุ่มมีอยู่ในดวงของผู้ใด ผู้นั้นจะต้องพบอุปสรรคเสมอ ถ้าไม่มีอุปสรรคเกี่ยวกับการดำเนินวิถีชีวิต ก็จะต้องเกี่ยวกับสุขภาพของร่างกาย อันมีจุดเปราะบั่นทอนความสุขของชีวิตเป็นอย่างมาก
ดาวบาปเคราะห์ที่เล็งกันอีกอย่างหนึ่ง ย่อมมีส่วนเบียนดวงชาตาเป็นอย่างมาก ไม่แพ้ดาวกุมกันเลย
ราศีอันเกี่ยวกับเท้า คือ ราศีมีน มีบาปเคราะห์ร้านคู่หนึ่งคือ ๓ และ ๘ ไปครองคู่ ส่งผลให้ต้องพิการที่เท้าโดยเฉพาะ ให้สังเกตว่าดาวเนปจูน เจ้าเรือนราศีมีนเป็นประเสื่มคุณภาพด้วย จึงทำให้เรือนนั้นอ่อนแอมาก
สตรีผู้นี้ ขาพิการตั้งแต่สะโพกข้างขวาลงมา เมื่ออายุ ๕ ขวบเคยหกล้ม ขาข้างขวาหัก เลยสะโพกคราก ต้องเดินโขยกสะโพกตลอดชีวิต
ด้วกนี้เช่นกันจะเห็นว่า มีบาปเคราะห์คู่ศัตรูคือ ๑ ๓ กุมกันอยู่ที่ราศีมังกร ซึ่งเป็นอวัยวะเกี่ยวกับขา หรือกึ่งกลางขาโดยตรง ย่อมให้โทษมาก อีกประการหนึ่งดาว ๗ เจ้าเรือนก็เป็นประ หมดคุณภาพจะคุ้มครองเรือนตนได้
สตรีผู้นี้ปากจัดด่าหยาบคาย ด่าผัวเป็นประจำวัน เลยถูกพี่เขยยิงกรอกปากตายขณะกินข้าว ให้สังเกตว่าราศีเมษเป็นราศีถูกเบียนอย่างหนัก คือ ดาว ๗ เป็นนิจไปครองราศีตน และกาว ๕ เจ้าเรือนภพวินาศนะจ่ากราศีธนูก็มาครองอยู่ ดาว ๕ จึงสำแดงความเป็นวินาศนะร่วมกับดาวเสาร์ด้วย ดาวพลูโตเกษตรราศีเมษก็ถูกดาว ๑ มรณะ(เจ้าเรือนมรณะราศีสิงห์) มากุมทำลายอยู่ ย่อมบั่นทองอย่างหนัก อังราศีเมษหมายถึงศีรษะ เจ้าชาตาจึงได้รับอันตรายเบื้องศีรษะนั้น
ขาซ้ายเป็นโปลิโอ ต้องผ่าตัด
ดวงนี้ ราหูครองอยู่ราศีธนูเป็นจุดเปราะอย่างหนึ่ง ทั้งนี้เพราะดาว ๕ เจ้าเรือนราศีธนูไปกุมดาวมฤดยูบาปเคราะห์และเป็นดาวอริ (เจ้าเรือนภพอริราศีกุมภ์) จึงเกิดโทษมาก ราศีธนูหมายถึงขาและโคนขา อันตรายจึงอยู่ที่นั่น
วันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2561
ลัคนา
โดย พลูหลวง
ปฐมภาคแห่งโหราศาสตร์
๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๔
ในตำราโบราณมักจะเขียนว่า ลักขณา อันเป็นคำเดียวกับลักษณะ หมายถึงว่า ผู้มีลัคนาอยู่ ณ ราศีใด ก็จะมีลักษณะโน้มเอียงไปตามราศีนั้นๆ
ลัคนาคือ จุดอุทัยของราศีอันโผล่พ้นขอบฟ้าในขณะเกิด ทางทิศตะวันออก ด้วยเหตุนี้เมื่อผู้ใดเกิดขณะพระอาทิตย์ขึ้นประมาณ ๖ โมงเช้า จึงมีอาทิตย์กุมลัคนนา ทั้งนี้เพราะราศีที่ลักคนาเกาะอุทัยขึ้นขอบฟ้าทิศตะวันออกกับอาทิตย์อุทัยพร้อมๆกัน เมื่อหาลัคนาได้ก็จะเกิดภพต่างๆขึ้นโดยอัตโนมัติ คือ
ราศีที่ลัคนาอุทัย เป็นภพที่ ๑
ราศีกลางฟ้าขณะเกิด เป็นภพที่ ๑๐
ราศีสุดขอบฟ้าตะวันตก เป็นภพที่ ๗
หากว่าเกิดตอนเที่ยงวัน อาทิตย์จะอยู่ตรงศรีษะ นั่นก็คืออาทิตย์อยู่ยังภพที่ ๑๐ ของดวงชาตา
หรือถ้าหากเกิดเวลาอาทิตย์กำลังตกดินเวลาประมาณ ๖ โมงเย็น ดวงอาทิตย์จะเล็งลัคนา หรืออยู่ในภพที่ ๗
หากเกิดเวลาเที่ยงคืน อาทิตย์จะอยู่ใต้โลกกึ่งกลางพอดี คือภพที่๔
กล่าวง่ายๆก็คือ ตั้งแต่ภพที่ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ นี้ เป็นภพลับขอบฟ้าไปแล้วอยู่ใต้โลก เป็นฝ่ายอดีตกรรมบันดาล
ส่วนภพที่ ๘ ๙ ๑๐ ๑๑ ๑๒ คือ ราศีอันลอยอยู่เต็มฟ้าขณะเกิด คือ ปัจจุบันกรรม
ถ้าภพฝ่ายอดีตกรรม มีดาวศุภเคราะห์ให้คุณตั้งอยู่มากก็แสดงว่ามีกรรมเก่ามาดี สนับสนุนให้สมบูรณ์พูนสุขในปัจจุบันชาติ มักจะมั่งมีทรัพย์สินศฤงคารต่างๆ
แต่ถ้าภพฝ่ายปัจจุบันกรรม มีดาวอันให้คุณสถิตอยู่มากก็แสดงว่า ผู้นั้นจะมาสร้างตนเองให้เป็นใหญ่เป็นโตขึ้น และรุ่งเรืองขึ้นได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง
ความหมายของภพ
ภพที่๑ คือลัคนา ภพที่๒ คือราศีถัดไปตามวิถีจักร หรือนับทวนเข็มนาฬิกา ถัดออกไปเป็นภพที่ ๓ ๔ ๕ ๖ ฯลฯ ตามลำดับ ภพแต่ภพมีความหมายลึกซึ้ง และเป็นเหตุสำคัญที่จะหยิบยกมาแสดงพยากรณ์ให้กว้างขวางออกไป
ภพที่๑ ตนุ คือ ลัคนา หมายถึงตัวตน สุขภาพ เคราะห์ดีร้ายต่างๆ ตลอดลักษณะรูปร่างของเจ้าชาตา
ภพที๒ กฎุพะ คือการเงิน หมายถึงรายได้ ทั้งจากการงาน หรือจะเป็นลาภลอยก็ตาม รวมทั้ง อนรรฆมณีมีค่าต่างๆอันเป็นสมบัติส่วนหนึ่งของมนุษย์อีกด้วย นอกจากนี้ยังหมายถึงการเจรจา และสิ่งอันนำวิถึชีวิต ถ้ามีดาวอยู่ในภพนี้โบราณเรียกว่า ศูนยะพาหนะ คือ เครื่องนำวิถีชีวิตนั่นเอง
ภพที่๓ สุหัชชะ แปลว่า เพื่อน หมายถึง เพื่อนบ้าน ข่าวสารการเดินทางใกล้ๆ พวกพ้อง ญาติมิตร
ภพที่๔ พันธุ คือญาติ ภพนี้มีความหมายกว้างขวางและสำคัญมาก หมายถึงบ้านเรือนและอสังหาริมทรัพย์ทั้งปวง เช่น ที่ดิน เรือกสวน ไร่นา รวมทั้งยวดยานพาหนะ หมายถึง มารดาในดวงชาย หมายถึง บิดาในดวงหญิง
ภพที่๕ ปุตตะ คือบุตร หรือผู้เยาว์วัยในปกครองของเจ้าชาตา รวมทั้งสัตว์เลี้ยงบนบ้าน เช่น สุนัข แมว ด้วย
ภพที่๖ อริ คือศัตรู หรือ คู่แข่งขัน ผู้แสดงตนเป็นประโยชน์กับเรา อุปสรรคต่างๆ
ภพที่๗ ปีตนิ คือคู่ครอง หรือคู่หมั้นหมาย
ภพที่๘ มรณะ คือความตาย ความเจ็บไข้ และมรดก
ภพที่๙ ศุภะ หมายถึงความดี เป็นภพแห่งการถือบวช การเลื่อนยศตำแหน่ การเดินทางไกล การยกย่องสรรเสริญ บิดาในดวงชาย มารดาในดวงหญิง
ภพที่๑๐ กัมมะ คือ การงาน
ภพที่๑๑ ลาภะ คือ ลาภ หรือ ผู้สนับสนุน เพื่อนสนิท หรือ คู่รัก
ภพที่๑๒ วินาศนะ คือ ความเร้นลับไม่เปิดเผย การถูกคุมขัง การล้มละลาย และศัตรูที่ไม่เปิดเผย ตลอดจนทรัพย์สินหรือภรรยาลับๆ
ภพหลักของดวงชาตา ก็คือ ภพที่๑ ตนุ ภพที่๔ พันธุ ภพที่๗ ปัตนิ และภพที่๑๐ กัมมะ กล่าวคือ นอกจากลัคนาแล้ว ภพที่๔ อันเป็นหลักฐานบ้านเรือนย่อมสำคัญ ด้วยจะเกิดความมั่นคง มั่งมีศรีสุขอย่างไรย่อมดูจากภพนี้ และภพที่๑๐ คือการงาน ถ้าดีเด่นก็ย่อมบันดาลให้ชีวิตรุ่งโรจน์ ส่วนอื่นๆก็ดีขึ้นหมด ภพที่๑๐ จึงถือว่าสำคัญที่สุด ส่วนภพที่๗ คู่ครองก็สำคัญมาก ถ้าได้คู่ครองดีย่อมเป็นศรีแก่ตนเกิดความมั่นคงแก่ชีวิตและครอบครัว หาได้คู่ชั่วย่อมจะทำให้ชีวิตเศร้าหมองวอดวายหรือมิฉะนั้นก็ล่มจมไปเลย
ภพที่๑๐ เป็นภพสำคัญที่สุด ดาวใดที่สถิตอยู่ยังภพนี้ ย่อมมีอิทธิพลต่อชีวิตอย่างใหญ่หลวง อาจบันดาลให้ชีวิตหันเหไปตามอิธิพลของดาวนั้น เช่นดาวอังคาร(๓) อยู่ตรงศรีษะขณะเกิด(ภพที่๑๐) มักมีอันตราย มักประสบอุบัติเหตุหรือมีการผ่าตัด มักประกอบอาชีพเป็นทหาร ศัลยแพทย์ หรือ วิศวกร ถ้าดาพุธอยู่ในภพนี้ มักสนใจทางหนังสือ งานประพันธ์ หรือการพูด การเจรจา ดาวศุกรอยู่ภพที่๑๐ สนใจทางศิลปะ หรือจะเป็นศิลปิน ดังนี้เป็นต้น
ภพและความสัมพันธของภพ
ภพแต่ละภพมีส่วนสัมพันธ์กันตามมุมร่วมธาตุของแต่ละภพ ภพที่เป็นหลักก็คือ ภพที่ ๑ลัคนา ภพที่๔ ภพที่๗ และภพที่๑๐ ภพอืนจึงเป็นส่วนประกอบทั้งสิ้น
สมมุติว่าลัคนาอยู่ราศีเมษ ราศีเมษจึงเป็น ภพที่๑ ภพอื่นจึงอยู่ถัดไปตามวิถีจักร ตามลำดับ
ให้พิจารณาภพหลักทั้ง ๔ ไปตามลำดับดังนี้
ภพที่๑ คือตนุ อันเป็นตัวตนของเจ้าชาตา ในมุมร่วมธาตุคือ ภพที่๕ปุตตะ และ ภพที่๙ คือบิดาหรือมารดา จะเห็นว่าเจ้าชาตา บุตร และบิดามารดา ย่อมมีส่วนสัมพันธ์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทั้งสามประการจึงมีส่วนรับเคราะห์แทนกันได้ และมีส่วนช่วยพยุงซึ่งกันและกัน
เช่น เจ้าชาตาได้บุตรดีมีเชื่อเสียง ก็ย่อมทำให้เจ้าชาตามีหน้าดาและฐานะดีขึ้นกว่าเดิม มีคนยกย่องนับหน้ถือตาจากบุคคลที่ยกย่องในบุตรของตน และบิดามารดาของตนก็ย่อมมีส่วมร่วมในบารมีนั้นด้วย หรือถ้าเจ้าชาตาได้บิดามารดามีฐานะดีมีมรดกก็มีส่วนทำให้เจ้าชาตามีความเป็นอยู่ดี ฐานะดี และท้ายที่สุดก็ได้มรดกของบิดามารดา จึงเห็นได้ว่า ภพที่ ๑ ๕ ๙ จึงมีส่วนสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด เมื่อมีดาวดีโคจรมาถึง ภพใดภพหนึ่งย่อมทำให้อีกสองภพได้ผลดีร่วมด้วย หรือถ้ามีดาวยร้ายโคจรถึง ก็ต้องสะเทือนไปหมดเช่นกัน
ภพที่๔ คือบ้าน หลักฐานที่ดินของเจ้าชาตา ย่อมสัมพันธ์กับภพที่๘ มรณะ และภพที่๑๒ วินาศนะ อันเป็นภพที่แสดงความไม่เปิดเผย
ภพที่๘ มรณะคือมรดงและทรัพย์สิน ที่ได้มาจากบุคคลที่ถึงแก่กรรม ซึ่งตรงกับภพที่๔ อันเป็นอสังหาริมทรพัย์ในปัจจุบันของเจ้าชาตา ส่วนภพที่๑๒ นั้นเป็นสินอันไม่เปิดเผยของเจ้าชาตา เข่าเจ้าชาตาอาจจะไปมีบ้านลับๆ มีภรรยาน้อย หรือ มีที่ดินในที่ไม่เปิดเผยบางแห่ง ก็มีส่วนสัมพันธ์เช่นเดียวกับภาพที่๔ คือบ้านอันเปิดเผย นั่นเอง ทั้งสามภพนี้ย่อมสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด และมีความหายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกัน เช่น เจ้าชาตามีบ้านปัจจุบัน บ้านเก่าของบิดามารดา และบ้านในชนบทหรือบ้านคากอากาศริมทะเล เราก็จะต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับเรื่องคือ บ้านที่อยู่บัจจุบันคือภพที่๔ บ้านบิดามารดาคือภพที่๘ ส่วนบ้านชายทะเลหรือบ้านพักร้อน หรือบ้านภรรยาน้อย คือภพที่๑๒
ภพที่๗ คือภรรยาคู่ครองหรือผู้ร่วมใจ ย่อมสัมพันธ์กับภพที่ ๑๑ และ ภพที่๓ ในมุมร่วมธาตุอย่างใกล้ชิต เพราะทั้งสามภพนี้หมายถึง ผู้ร่วมใจทั้งสิ้น ภพที่๓ คือเพื่อน ภพที่๗ คือคู่รัก มิตรสนิท หรือ สามีภรรยา ภพที่๑๑ คือเพื่อนสนิท หรือผู้สนันสนุนส่งเสริม
ความสัมพันธ์ ก็เปลี่ยนแปลงได้ เร่ิมต้นเมื่อชายหรือหญิงพบเพศตรงข้ามก็เริ่มคบหาเป็นมิตรก่อน ต้องดูภพที่๓ ต่อมาเมื่อสนิทสนมช่วยเหลือกันได้ ต้องดูภพที่๑๑
ภพที่๑๐ คือการงาน และการกระทำ การดำเนินวิถีชีวิตของเจ้าชาตา ซึ่งเป็นภพที่สำคัญที่สุดของเจ้าชาตา ย่อมเกี่ยวพันกับภพที่๒ คือการเงินหรือรายได้ และภพที่๖ คือบริวารผู้ร่วมงานหรือผู้ร่วมประสานงาน จะเห็นว่ามีส่วนเกี่ยวพันกันอย่างแนบแน่น เพราะเมือเจ้าชาตางานดี(ภพที่๑๐) ย่อมมีรายได้ดี(ภพที่๒) และผู้ร่วมทุนหรือกิจากรที่อยู่ในเครือเดียวกันย่อมดีขึ้น ลูกน้องบริวารก็มีส่วนดีขึ้นด้วย(ภพที่๖) ถ้าบริวารไม่ดี ทรยศหักหลัง(ภพที่๖) ย่อมทำให้การงาน(ภพที่๑๐) ล้มเหลว และส่งผลต่อรายได้(ภพที่๒) ลดลงด้วย
การพิจารณาถึงภพในมุมร่วมธาตุจึงสำคัญที่สุด เมื่อมีสิ่งใดมากระเทือนไม่ว่าดีหรือร้าน ย่อมส่งกระแสถึงกันและกันโดยตลอด เมื่อศึกษาโหราศาสตร์จะต้องคำนึงเรื่องนี้เป็นหลัการใหญ่ อย่างไรก็ดีภพทุกภพย่อมมีส่วนสัมพันธ์กันเป็นลูกโซ่ เมื่อพิจารณาถึงภพใดๆ ก็จำเป็นต้องคำนึงถึงส่วนอื่นอันจะมีส่วนมาเกี่ยวพันด้วยเสมอ
ปฐมภาคแห่งโหราศาสตร์
๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๔
ในตำราโบราณมักจะเขียนว่า ลักขณา อันเป็นคำเดียวกับลักษณะ หมายถึงว่า ผู้มีลัคนาอยู่ ณ ราศีใด ก็จะมีลักษณะโน้มเอียงไปตามราศีนั้นๆ
ลัคนาคือ จุดอุทัยของราศีอันโผล่พ้นขอบฟ้าในขณะเกิด ทางทิศตะวันออก ด้วยเหตุนี้เมื่อผู้ใดเกิดขณะพระอาทิตย์ขึ้นประมาณ ๖ โมงเช้า จึงมีอาทิตย์กุมลัคนนา ทั้งนี้เพราะราศีที่ลักคนาเกาะอุทัยขึ้นขอบฟ้าทิศตะวันออกกับอาทิตย์อุทัยพร้อมๆกัน เมื่อหาลัคนาได้ก็จะเกิดภพต่างๆขึ้นโดยอัตโนมัติ คือ
ราศีที่ลัคนาอุทัย เป็นภพที่ ๑
ราศีกลางฟ้าขณะเกิด เป็นภพที่ ๑๐
ราศีสุดขอบฟ้าตะวันตก เป็นภพที่ ๗
หากว่าเกิดตอนเที่ยงวัน อาทิตย์จะอยู่ตรงศรีษะ นั่นก็คืออาทิตย์อยู่ยังภพที่ ๑๐ ของดวงชาตา
หรือถ้าหากเกิดเวลาอาทิตย์กำลังตกดินเวลาประมาณ ๖ โมงเย็น ดวงอาทิตย์จะเล็งลัคนา หรืออยู่ในภพที่ ๗
หากเกิดเวลาเที่ยงคืน อาทิตย์จะอยู่ใต้โลกกึ่งกลางพอดี คือภพที่๔
กล่าวง่ายๆก็คือ ตั้งแต่ภพที่ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ นี้ เป็นภพลับขอบฟ้าไปแล้วอยู่ใต้โลก เป็นฝ่ายอดีตกรรมบันดาล
ส่วนภพที่ ๘ ๙ ๑๐ ๑๑ ๑๒ คือ ราศีอันลอยอยู่เต็มฟ้าขณะเกิด คือ ปัจจุบันกรรม
ถ้าภพฝ่ายอดีตกรรม มีดาวศุภเคราะห์ให้คุณตั้งอยู่มากก็แสดงว่ามีกรรมเก่ามาดี สนับสนุนให้สมบูรณ์พูนสุขในปัจจุบันชาติ มักจะมั่งมีทรัพย์สินศฤงคารต่างๆ
แต่ถ้าภพฝ่ายปัจจุบันกรรม มีดาวอันให้คุณสถิตอยู่มากก็แสดงว่า ผู้นั้นจะมาสร้างตนเองให้เป็นใหญ่เป็นโตขึ้น และรุ่งเรืองขึ้นได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง
ความหมายของภพ
ภพที่๑ คือลัคนา ภพที่๒ คือราศีถัดไปตามวิถีจักร หรือนับทวนเข็มนาฬิกา ถัดออกไปเป็นภพที่ ๓ ๔ ๕ ๖ ฯลฯ ตามลำดับ ภพแต่ภพมีความหมายลึกซึ้ง และเป็นเหตุสำคัญที่จะหยิบยกมาแสดงพยากรณ์ให้กว้างขวางออกไป
ภพที่๑ ตนุ คือ ลัคนา หมายถึงตัวตน สุขภาพ เคราะห์ดีร้ายต่างๆ ตลอดลักษณะรูปร่างของเจ้าชาตา
ภพที๒ กฎุพะ คือการเงิน หมายถึงรายได้ ทั้งจากการงาน หรือจะเป็นลาภลอยก็ตาม รวมทั้ง อนรรฆมณีมีค่าต่างๆอันเป็นสมบัติส่วนหนึ่งของมนุษย์อีกด้วย นอกจากนี้ยังหมายถึงการเจรจา และสิ่งอันนำวิถึชีวิต ถ้ามีดาวอยู่ในภพนี้โบราณเรียกว่า ศูนยะพาหนะ คือ เครื่องนำวิถีชีวิตนั่นเอง
ภพที่๓ สุหัชชะ แปลว่า เพื่อน หมายถึง เพื่อนบ้าน ข่าวสารการเดินทางใกล้ๆ พวกพ้อง ญาติมิตร
ภพที่๔ พันธุ คือญาติ ภพนี้มีความหมายกว้างขวางและสำคัญมาก หมายถึงบ้านเรือนและอสังหาริมทรัพย์ทั้งปวง เช่น ที่ดิน เรือกสวน ไร่นา รวมทั้งยวดยานพาหนะ หมายถึง มารดาในดวงชาย หมายถึง บิดาในดวงหญิง
ภพที่๕ ปุตตะ คือบุตร หรือผู้เยาว์วัยในปกครองของเจ้าชาตา รวมทั้งสัตว์เลี้ยงบนบ้าน เช่น สุนัข แมว ด้วย
ภพที่๖ อริ คือศัตรู หรือ คู่แข่งขัน ผู้แสดงตนเป็นประโยชน์กับเรา อุปสรรคต่างๆ
ภพที่๗ ปีตนิ คือคู่ครอง หรือคู่หมั้นหมาย
ภพที่๘ มรณะ คือความตาย ความเจ็บไข้ และมรดก
ภพที่๙ ศุภะ หมายถึงความดี เป็นภพแห่งการถือบวช การเลื่อนยศตำแหน่ การเดินทางไกล การยกย่องสรรเสริญ บิดาในดวงชาย มารดาในดวงหญิง
ภพที่๑๐ กัมมะ คือ การงาน
ภพที่๑๑ ลาภะ คือ ลาภ หรือ ผู้สนับสนุน เพื่อนสนิท หรือ คู่รัก
ภพที่๑๒ วินาศนะ คือ ความเร้นลับไม่เปิดเผย การถูกคุมขัง การล้มละลาย และศัตรูที่ไม่เปิดเผย ตลอดจนทรัพย์สินหรือภรรยาลับๆ
ภพหลักของดวงชาตา ก็คือ ภพที่๑ ตนุ ภพที่๔ พันธุ ภพที่๗ ปัตนิ และภพที่๑๐ กัมมะ กล่าวคือ นอกจากลัคนาแล้ว ภพที่๔ อันเป็นหลักฐานบ้านเรือนย่อมสำคัญ ด้วยจะเกิดความมั่นคง มั่งมีศรีสุขอย่างไรย่อมดูจากภพนี้ และภพที่๑๐ คือการงาน ถ้าดีเด่นก็ย่อมบันดาลให้ชีวิตรุ่งโรจน์ ส่วนอื่นๆก็ดีขึ้นหมด ภพที่๑๐ จึงถือว่าสำคัญที่สุด ส่วนภพที่๗ คู่ครองก็สำคัญมาก ถ้าได้คู่ครองดีย่อมเป็นศรีแก่ตนเกิดความมั่นคงแก่ชีวิตและครอบครัว หาได้คู่ชั่วย่อมจะทำให้ชีวิตเศร้าหมองวอดวายหรือมิฉะนั้นก็ล่มจมไปเลย
ภพที่๑๐ เป็นภพสำคัญที่สุด ดาวใดที่สถิตอยู่ยังภพนี้ ย่อมมีอิทธิพลต่อชีวิตอย่างใหญ่หลวง อาจบันดาลให้ชีวิตหันเหไปตามอิธิพลของดาวนั้น เช่นดาวอังคาร(๓) อยู่ตรงศรีษะขณะเกิด(ภพที่๑๐) มักมีอันตราย มักประสบอุบัติเหตุหรือมีการผ่าตัด มักประกอบอาชีพเป็นทหาร ศัลยแพทย์ หรือ วิศวกร ถ้าดาพุธอยู่ในภพนี้ มักสนใจทางหนังสือ งานประพันธ์ หรือการพูด การเจรจา ดาวศุกรอยู่ภพที่๑๐ สนใจทางศิลปะ หรือจะเป็นศิลปิน ดังนี้เป็นต้น
ภพและความสัมพันธของภพ
ภพแต่ละภพมีส่วนสัมพันธ์กันตามมุมร่วมธาตุของแต่ละภพ ภพที่เป็นหลักก็คือ ภพที่ ๑ลัคนา ภพที่๔ ภพที่๗ และภพที่๑๐ ภพอืนจึงเป็นส่วนประกอบทั้งสิ้น
สมมุติว่าลัคนาอยู่ราศีเมษ ราศีเมษจึงเป็น ภพที่๑ ภพอื่นจึงอยู่ถัดไปตามวิถีจักร ตามลำดับ
ให้พิจารณาภพหลักทั้ง ๔ ไปตามลำดับดังนี้
ภพที่๑ คือตนุ อันเป็นตัวตนของเจ้าชาตา ในมุมร่วมธาตุคือ ภพที่๕ปุตตะ และ ภพที่๙ คือบิดาหรือมารดา จะเห็นว่าเจ้าชาตา บุตร และบิดามารดา ย่อมมีส่วนสัมพันธ์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทั้งสามประการจึงมีส่วนรับเคราะห์แทนกันได้ และมีส่วนช่วยพยุงซึ่งกันและกัน
เช่น เจ้าชาตาได้บุตรดีมีเชื่อเสียง ก็ย่อมทำให้เจ้าชาตามีหน้าดาและฐานะดีขึ้นกว่าเดิม มีคนยกย่องนับหน้ถือตาจากบุคคลที่ยกย่องในบุตรของตน และบิดามารดาของตนก็ย่อมมีส่วมร่วมในบารมีนั้นด้วย หรือถ้าเจ้าชาตาได้บิดามารดามีฐานะดีมีมรดกก็มีส่วนทำให้เจ้าชาตามีความเป็นอยู่ดี ฐานะดี และท้ายที่สุดก็ได้มรดกของบิดามารดา จึงเห็นได้ว่า ภพที่ ๑ ๕ ๙ จึงมีส่วนสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด เมื่อมีดาวดีโคจรมาถึง ภพใดภพหนึ่งย่อมทำให้อีกสองภพได้ผลดีร่วมด้วย หรือถ้ามีดาวยร้ายโคจรถึง ก็ต้องสะเทือนไปหมดเช่นกัน
ภพที่๔ คือบ้าน หลักฐานที่ดินของเจ้าชาตา ย่อมสัมพันธ์กับภพที่๘ มรณะ และภพที่๑๒ วินาศนะ อันเป็นภพที่แสดงความไม่เปิดเผย
ภพที่๘ มรณะคือมรดงและทรัพย์สิน ที่ได้มาจากบุคคลที่ถึงแก่กรรม ซึ่งตรงกับภพที่๔ อันเป็นอสังหาริมทรพัย์ในปัจจุบันของเจ้าชาตา ส่วนภพที่๑๒ นั้นเป็นสินอันไม่เปิดเผยของเจ้าชาตา เข่าเจ้าชาตาอาจจะไปมีบ้านลับๆ มีภรรยาน้อย หรือ มีที่ดินในที่ไม่เปิดเผยบางแห่ง ก็มีส่วนสัมพันธ์เช่นเดียวกับภาพที่๔ คือบ้านอันเปิดเผย นั่นเอง ทั้งสามภพนี้ย่อมสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด และมีความหายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกัน เช่น เจ้าชาตามีบ้านปัจจุบัน บ้านเก่าของบิดามารดา และบ้านในชนบทหรือบ้านคากอากาศริมทะเล เราก็จะต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับเรื่องคือ บ้านที่อยู่บัจจุบันคือภพที่๔ บ้านบิดามารดาคือภพที่๘ ส่วนบ้านชายทะเลหรือบ้านพักร้อน หรือบ้านภรรยาน้อย คือภพที่๑๒
ภพที่๗ คือภรรยาคู่ครองหรือผู้ร่วมใจ ย่อมสัมพันธ์กับภพที่ ๑๑ และ ภพที่๓ ในมุมร่วมธาตุอย่างใกล้ชิต เพราะทั้งสามภพนี้หมายถึง ผู้ร่วมใจทั้งสิ้น ภพที่๓ คือเพื่อน ภพที่๗ คือคู่รัก มิตรสนิท หรือ สามีภรรยา ภพที่๑๑ คือเพื่อนสนิท หรือผู้สนันสนุนส่งเสริม
ความสัมพันธ์ ก็เปลี่ยนแปลงได้ เร่ิมต้นเมื่อชายหรือหญิงพบเพศตรงข้ามก็เริ่มคบหาเป็นมิตรก่อน ต้องดูภพที่๓ ต่อมาเมื่อสนิทสนมช่วยเหลือกันได้ ต้องดูภพที่๑๑
ภพที่๑๐ คือการงาน และการกระทำ การดำเนินวิถีชีวิตของเจ้าชาตา ซึ่งเป็นภพที่สำคัญที่สุดของเจ้าชาตา ย่อมเกี่ยวพันกับภพที่๒ คือการเงินหรือรายได้ และภพที่๖ คือบริวารผู้ร่วมงานหรือผู้ร่วมประสานงาน จะเห็นว่ามีส่วนเกี่ยวพันกันอย่างแนบแน่น เพราะเมือเจ้าชาตางานดี(ภพที่๑๐) ย่อมมีรายได้ดี(ภพที่๒) และผู้ร่วมทุนหรือกิจากรที่อยู่ในเครือเดียวกันย่อมดีขึ้น ลูกน้องบริวารก็มีส่วนดีขึ้นด้วย(ภพที่๖) ถ้าบริวารไม่ดี ทรยศหักหลัง(ภพที่๖) ย่อมทำให้การงาน(ภพที่๑๐) ล้มเหลว และส่งผลต่อรายได้(ภพที่๒) ลดลงด้วย
การพิจารณาถึงภพในมุมร่วมธาตุจึงสำคัญที่สุด เมื่อมีสิ่งใดมากระเทือนไม่ว่าดีหรือร้าน ย่อมส่งกระแสถึงกันและกันโดยตลอด เมื่อศึกษาโหราศาสตร์จะต้องคำนึงเรื่องนี้เป็นหลัการใหญ่ อย่างไรก็ดีภพทุกภพย่อมมีส่วนสัมพันธ์กันเป็นลูกโซ่ เมื่อพิจารณาถึงภพใดๆ ก็จำเป็นต้องคำนึงถึงส่วนอื่นอันจะมีส่วนมาเกี่ยวพันด้วยเสมอ
วันศุกร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2561
ทักษา
โดยพลูหลวง
ปฐมภาคแห่งโหราศาสตร์
๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๔
ทักษา คือ ระบบการไล่วันทั้งเจ็ดตามแบบโบราณ ผู้เกิดวันใดก็จะต้องไล่วันไปตามแผนผัง ก็จะรู้ได้ว่าวันใดดี หรือวันใดไม่ดีสำหรับตน ตัวเลขของวันไปตรงกับดาวอะไรก็จะบ่งบอกลักษณะของดาวนั้นๆ ด้วยแผนผังข้างบน
การนับให้นับเวียนทางขวามือ หรือตามเข็มนาฬิกา เช่น เกิดวันจันทร์ ก็ต้องนับจันทร์เป็นภูมิแรกเป็นบริวาร ภูมิอังคารถัดมาเป็นอายุ และถุดไปเป็น เดช ศรี มูละ อุตสาหะ มนตรี และกาลกิณี ตามลำดับ
บริวาร หมายถึง พวกพ้อง บุตร คนที่ต่ำกว่าเรา
อายุ หมายถึง สุขภาพของเจ้าชาตา อายุ และความเป็นอยู่
เดช หมายถึง อำนาจ ความเข้มแข็ง กระตือรือร้นต่างๆ
ศรี หมายถึง การยกย่อง ความดี คุณความดีต่างๆ และ ความอุดมสมบูรณ์
มูละ หมายถึง ถิ่นฐานบ้านเรือน ญาติ ที่ดิน
อุตสาหะ หมายถึง การงาน ความพยายามของชีวิต
มนตรี หมายถึง ผู้ใหญ่ ที่พึ่ง หรือถ้าผู้หญิงหมายถึงคู่ครอง
กาลกิณี หมายถึง สิ่งขัดข้อง ความชั่วร้าย สิ่งอันให้โทษแก่ดวงชาตา
เลขใดตรงกับดาวอะไร ในดวงชาตาใครก็ถือว่า ดาวนั้นๆ คือสิ่งอันตรงกับแผนผังที่ไล่ไปตามวันเกิดนั่นเอง เช่น
เกิดวันจันทร์ จันทร์(๒) เป็นบริวาร อังคาร(๓) เป็นอายุ พุธ(๔) เป็นเดช เสาร์(๗) เป็นศรี พฤหัส(๕) เป็นมูละ ราหู(๘) เป็นอุตสาหะ ศุกร์(๖) เป็นมนตรี และ อาทิตย์(๑) เป็นกาลกิณี
เกิดวันพฤหัส ไล่เวียนขวาไปตามลำดับก็จะได้ดังนี้คือ พฤหัส(๕)เป็นบริวาร ราหู(๘)เป็นอายุ ศุกร์(๖)เป็นเดช อาทิตย์(๑)เป็นศรี จันทร์(๒)เป็นมูละ อังคาร(๓)เป็นอุตสาหะ พุธ(๔)เป็นมนตรี และ เสาร์(๗)เป็นกาลกิณี
ระบบทักษานี้เป็นที่นิยมยกย่องกันมาก ในวงการโหรไทย สามารถนำมาทำนายดวงชาตาได้อย่างกว้างขวางทั้งพื้นดวงและดาวจร และยังเล่นพิสดารเปลี่ยนทักษาไปทุกๆปี นับตั้งแต่ปีกำเนิดเริ่มภูมิแรกที่วันเกิด อายุสองขวบก็คือภูมิถัดไปนั่นเอง เช่นเกิดวันจันทร์นับ ๑ ขวบ ที่ภูมิจันทร์ พออายุย่างเข้า๒2 ขวบ ต้องถือภูมิอังคารแล้วเริ่มนับทักษาใหม่ เอาอังคารเป็นบริวาร พุธเป็นอายุ ฯลฯ นับต่อไปตามลำดับ เมือเวียนไปถึงภูมิอาทิตย์ ท่านบังคับให้ย้อนเข้าภูมิกลางเสียก่อน ๑ ปี แล้วจึงต่อไปที่ภูมิจันทร์ เวียนไปเรื่อยๆตามอายุ การที่ต้องนับวกเข้าภูมิกลางซึ่งเรียกว่าภูมิ เหตุนี้ทำให้เป็นเหตุยุ่งยาก นักโหราศาสตร์ต่างก็ถกเถียงกันเสนอข้อคิดต่างๆว่า เมื่อเข้าภูมิกลางจะเริ่มนับบริวารที่ไหน บ้างก็ว่านับที่ภูมิพฤหัส บ้างก็ว่าอย่างอื่น ต่างคนก็ถกเถียงไปมาไม่ยุติลงได้
โหรหลายคนที่เก่งๆจึงบอกศาลา ไม่ยอมเล่นทักษาจรเพราะเอาส่ำไม่ได้ คงเล่นแต่ทักษาวันเกิดเพียงเท่านั้น เพราะไม่ยุ่งยากอะไร อีกประกาหนึ่งการจัดภูมิทักษาของไทยก็น่าอัศจรรย์ มีส่วนถูกต้องพอเชื่อถือได้ อย่างไรก็ดีโหรสากลและโหรรุ่นใหม่หลายคนปัดทักษาทิ้งไปเลยไม่ยอมเล่น โดยพิจารณาถึงคุณภาพของดาวพระเคราะห์แต่อย่างเดียวเท่านั้น
แม้จะมีคนตำหนิกันมาก แต่ก็ยังหาตัวผู้คัดค้านอย่างมีเหตุผลไม่ได้ จึงขอเสนอทักษาไว้ให้ท่านผู้อ่าน เพื่อช่วยกันพิสูจน์ค้นคว้าต่อไป เพราะเรื่องทักษาและทิศประจำภูมิทักษานี้มีอยู่ในคัมภีร์โหรโบราณ และมีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์หลายตอนด้วยกัน ย่อมจะมีส่นสำคัญเป็นทีเด็ดของโหรไทยอยู่ ถ้าไม่ดีจริงคงจะไม่นิยมยืนนานนับเป็นหลายร้อยปี เช่นนี้เป็นแน่ สำหรับตัวข้าพเจ้ายังคงใช้ทักษาเฉพาะทักษาเดิม ส่วนทักษาจรไปตามปีนั้นเลิกเล่นโดยสิ้นเชิง
ทิศประจำภูมิต่างๆ นี้ ชนโบราณนับถืออย่างมาก ถือว่าทำอะไรไม่ถูกต้องโฉลกตามทักษามักเกิดโทษ เช่นเกิดวันจันทร์ ภูมิอาทิตย์คือทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นกาลกิณี จะเดินทางไปทำมาหากินทิศนี้ หรือยกทักทัพ หรือเดินทางผจญภัยย่อมเกิดโทษ แต่ภูมิอาทิตย์นี้ย่อมเหมาะสำหรับคนเกิดวันพฤหัสบดี เพราะจะทำให้ภูมิอาทิตย์หรือทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นศรี ย่อยเกิดคุณเอนกประการแก่คนเกิดวันพฤหัสบดีนี้
คนสมัยใหม่นิยมใช้ทิศประจำภูมิทักษานี้ประกอบในการปลูกบ้านใหม่ หรือตั้งโต๊ะทำงาน หรือออกรถใหม่ โดยจะไม่ยอมหันไปสู่ทิศกาลกิณีต่อวันเกิดของตนเป็นอันขาด ส่วนทิศอื่นๆนั้นย่อมไม่เกิดโทษแต่ประการใด
เรื่องของวันให้คุณและให้โทษก็เช่นกัน ทานถือเป็นข้อยกเว้นตายตัวว่า คนเกิดวันใด ห้ามมิให้ทำงานมงคลหรือเริ่มกิจการสำคัญ ในวันกาลกิณีของตนเป็นอันขาดดังนี้
คนเกิดวันอาทิตย์ ห้ามทำการ วันศุกร์ หรือ ทิศเหนือ
คนเกิดวันจันทร์ ห้ามทำการ วันอาทิตย์ หรือ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
คนเกิดวันอังคาร ห้ามทำการ วันจันทร์ หรือ ทิศตะวันออก
คนเกิดวันพุธ(กลางวัน) ห้ามทำการ วันอังคาร หรือ ทิศตะวันออกเฉียงใต้
คนเกิดวันพฤหัสบดี ห้ามทำการ วันเสาร์ หรือทิศตะวันตกเฉียงใต้
คนเกิดวันศุกร์ ห้ามทำการ วันพุธกลางคืน หรือทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
คนเกิดวันเสาร์ ห้ามทำการ วันพุธ หรือ ทิศใต้
คนเกิดวันพุธกลางคืน ห้ามทำการวันพฤหัสบดี หรือ ทิศตะวันตก
วิธีสังเกตภูมิทักษา สังเกตง่ายโดยดูภูมิแผนผัง ทิศศรีและทิศกาลกิณะจะต้องเล็งกันหรืออยู่ตรงข้ามกันเสมอ โบราณถือเป็นดาวธาตุเดียวกัน ท่านแยกแยะธาตุไว้ดังนี้
๑ กับ ๗ ธาตุไฟ
๒ กับ ๕ ธาตุดิน
๓ กับ ๘ ธาตุลม
๔ กับ ๖ ธาตุน้ำ
ต่างก็จับคู่เป็นธาตุเดียวกัน และถือว่าดาวคู่นี้เมื่อกุมกันย่อมให้คุณ ยิ่งอยู่ในราศีธาตุเดียวกันแล้วย่อมให้คุณยิ่งใหญ่มาก เรืยกว่าอสีติธาตุ แต่บัดนี้เรื่องธาตุมีข้องพิจารณาแยกแยะเปลี่ยนแปรไป ด้วยมีดาวใหม่เพิ่มขึ้นอีก ๓ ดวง คือ มฤตยู เนปจูน และ พลูโต และมีเกษตรประจำเรื่อนราศีแน่นอน ไม่ต้องยุ่งยากเรื่องดาวพระเคราะห์ครอง ๒ เรือนอีกต่อไป จึงให้ดาวเกษตรในราศีนั้นๆครองธาตุประจำราศีแน่นอนเสียเลย เมือนำมาทำนายแล้วได้ผลแม่ยำมาก ซึ่งจะกล่าวต่อไปข้างหน้า
ปฐมภาคแห่งโหราศาสตร์
๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๔
ทักษา คือ ระบบการไล่วันทั้งเจ็ดตามแบบโบราณ ผู้เกิดวันใดก็จะต้องไล่วันไปตามแผนผัง ก็จะรู้ได้ว่าวันใดดี หรือวันใดไม่ดีสำหรับตน ตัวเลขของวันไปตรงกับดาวอะไรก็จะบ่งบอกลักษณะของดาวนั้นๆ ด้วยแผนผังข้างบน
การนับให้นับเวียนทางขวามือ หรือตามเข็มนาฬิกา เช่น เกิดวันจันทร์ ก็ต้องนับจันทร์เป็นภูมิแรกเป็นบริวาร ภูมิอังคารถัดมาเป็นอายุ และถุดไปเป็น เดช ศรี มูละ อุตสาหะ มนตรี และกาลกิณี ตามลำดับ
บริวาร หมายถึง พวกพ้อง บุตร คนที่ต่ำกว่าเรา
อายุ หมายถึง สุขภาพของเจ้าชาตา อายุ และความเป็นอยู่
เดช หมายถึง อำนาจ ความเข้มแข็ง กระตือรือร้นต่างๆ
ศรี หมายถึง การยกย่อง ความดี คุณความดีต่างๆ และ ความอุดมสมบูรณ์
มูละ หมายถึง ถิ่นฐานบ้านเรือน ญาติ ที่ดิน
อุตสาหะ หมายถึง การงาน ความพยายามของชีวิต
มนตรี หมายถึง ผู้ใหญ่ ที่พึ่ง หรือถ้าผู้หญิงหมายถึงคู่ครอง
กาลกิณี หมายถึง สิ่งขัดข้อง ความชั่วร้าย สิ่งอันให้โทษแก่ดวงชาตา
เลขใดตรงกับดาวอะไร ในดวงชาตาใครก็ถือว่า ดาวนั้นๆ คือสิ่งอันตรงกับแผนผังที่ไล่ไปตามวันเกิดนั่นเอง เช่น
เกิดวันจันทร์ จันทร์(๒) เป็นบริวาร อังคาร(๓) เป็นอายุ พุธ(๔) เป็นเดช เสาร์(๗) เป็นศรี พฤหัส(๕) เป็นมูละ ราหู(๘) เป็นอุตสาหะ ศุกร์(๖) เป็นมนตรี และ อาทิตย์(๑) เป็นกาลกิณี
เกิดวันพฤหัส ไล่เวียนขวาไปตามลำดับก็จะได้ดังนี้คือ พฤหัส(๕)เป็นบริวาร ราหู(๘)เป็นอายุ ศุกร์(๖)เป็นเดช อาทิตย์(๑)เป็นศรี จันทร์(๒)เป็นมูละ อังคาร(๓)เป็นอุตสาหะ พุธ(๔)เป็นมนตรี และ เสาร์(๗)เป็นกาลกิณี
ระบบทักษานี้เป็นที่นิยมยกย่องกันมาก ในวงการโหรไทย สามารถนำมาทำนายดวงชาตาได้อย่างกว้างขวางทั้งพื้นดวงและดาวจร และยังเล่นพิสดารเปลี่ยนทักษาไปทุกๆปี นับตั้งแต่ปีกำเนิดเริ่มภูมิแรกที่วันเกิด อายุสองขวบก็คือภูมิถัดไปนั่นเอง เช่นเกิดวันจันทร์นับ ๑ ขวบ ที่ภูมิจันทร์ พออายุย่างเข้า๒2 ขวบ ต้องถือภูมิอังคารแล้วเริ่มนับทักษาใหม่ เอาอังคารเป็นบริวาร พุธเป็นอายุ ฯลฯ นับต่อไปตามลำดับ เมือเวียนไปถึงภูมิอาทิตย์ ท่านบังคับให้ย้อนเข้าภูมิกลางเสียก่อน ๑ ปี แล้วจึงต่อไปที่ภูมิจันทร์ เวียนไปเรื่อยๆตามอายุ การที่ต้องนับวกเข้าภูมิกลางซึ่งเรียกว่าภูมิ เหตุนี้ทำให้เป็นเหตุยุ่งยาก นักโหราศาสตร์ต่างก็ถกเถียงกันเสนอข้อคิดต่างๆว่า เมื่อเข้าภูมิกลางจะเริ่มนับบริวารที่ไหน บ้างก็ว่านับที่ภูมิพฤหัส บ้างก็ว่าอย่างอื่น ต่างคนก็ถกเถียงไปมาไม่ยุติลงได้
โหรหลายคนที่เก่งๆจึงบอกศาลา ไม่ยอมเล่นทักษาจรเพราะเอาส่ำไม่ได้ คงเล่นแต่ทักษาวันเกิดเพียงเท่านั้น เพราะไม่ยุ่งยากอะไร อีกประกาหนึ่งการจัดภูมิทักษาของไทยก็น่าอัศจรรย์ มีส่วนถูกต้องพอเชื่อถือได้ อย่างไรก็ดีโหรสากลและโหรรุ่นใหม่หลายคนปัดทักษาทิ้งไปเลยไม่ยอมเล่น โดยพิจารณาถึงคุณภาพของดาวพระเคราะห์แต่อย่างเดียวเท่านั้น
แม้จะมีคนตำหนิกันมาก แต่ก็ยังหาตัวผู้คัดค้านอย่างมีเหตุผลไม่ได้ จึงขอเสนอทักษาไว้ให้ท่านผู้อ่าน เพื่อช่วยกันพิสูจน์ค้นคว้าต่อไป เพราะเรื่องทักษาและทิศประจำภูมิทักษานี้มีอยู่ในคัมภีร์โหรโบราณ และมีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์หลายตอนด้วยกัน ย่อมจะมีส่นสำคัญเป็นทีเด็ดของโหรไทยอยู่ ถ้าไม่ดีจริงคงจะไม่นิยมยืนนานนับเป็นหลายร้อยปี เช่นนี้เป็นแน่ สำหรับตัวข้าพเจ้ายังคงใช้ทักษาเฉพาะทักษาเดิม ส่วนทักษาจรไปตามปีนั้นเลิกเล่นโดยสิ้นเชิง
ทิศประจำภูมิต่างๆ นี้ ชนโบราณนับถืออย่างมาก ถือว่าทำอะไรไม่ถูกต้องโฉลกตามทักษามักเกิดโทษ เช่นเกิดวันจันทร์ ภูมิอาทิตย์คือทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นกาลกิณี จะเดินทางไปทำมาหากินทิศนี้ หรือยกทักทัพ หรือเดินทางผจญภัยย่อมเกิดโทษ แต่ภูมิอาทิตย์นี้ย่อมเหมาะสำหรับคนเกิดวันพฤหัสบดี เพราะจะทำให้ภูมิอาทิตย์หรือทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นศรี ย่อยเกิดคุณเอนกประการแก่คนเกิดวันพฤหัสบดีนี้
คนสมัยใหม่นิยมใช้ทิศประจำภูมิทักษานี้ประกอบในการปลูกบ้านใหม่ หรือตั้งโต๊ะทำงาน หรือออกรถใหม่ โดยจะไม่ยอมหันไปสู่ทิศกาลกิณีต่อวันเกิดของตนเป็นอันขาด ส่วนทิศอื่นๆนั้นย่อมไม่เกิดโทษแต่ประการใด
เรื่องของวันให้คุณและให้โทษก็เช่นกัน ทานถือเป็นข้อยกเว้นตายตัวว่า คนเกิดวันใด ห้ามมิให้ทำงานมงคลหรือเริ่มกิจการสำคัญ ในวันกาลกิณีของตนเป็นอันขาดดังนี้
คนเกิดวันอาทิตย์ ห้ามทำการ วันศุกร์ หรือ ทิศเหนือ
คนเกิดวันจันทร์ ห้ามทำการ วันอาทิตย์ หรือ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
คนเกิดวันอังคาร ห้ามทำการ วันจันทร์ หรือ ทิศตะวันออก
คนเกิดวันพุธ(กลางวัน) ห้ามทำการ วันอังคาร หรือ ทิศตะวันออกเฉียงใต้
คนเกิดวันพฤหัสบดี ห้ามทำการ วันเสาร์ หรือทิศตะวันตกเฉียงใต้
คนเกิดวันศุกร์ ห้ามทำการ วันพุธกลางคืน หรือทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
คนเกิดวันเสาร์ ห้ามทำการ วันพุธ หรือ ทิศใต้
คนเกิดวันพุธกลางคืน ห้ามทำการวันพฤหัสบดี หรือ ทิศตะวันตก
วิธีสังเกตภูมิทักษา สังเกตง่ายโดยดูภูมิแผนผัง ทิศศรีและทิศกาลกิณะจะต้องเล็งกันหรืออยู่ตรงข้ามกันเสมอ โบราณถือเป็นดาวธาตุเดียวกัน ท่านแยกแยะธาตุไว้ดังนี้
๑ กับ ๗ ธาตุไฟ
๒ กับ ๕ ธาตุดิน
๓ กับ ๘ ธาตุลม
๔ กับ ๖ ธาตุน้ำ
ต่างก็จับคู่เป็นธาตุเดียวกัน และถือว่าดาวคู่นี้เมื่อกุมกันย่อมให้คุณ ยิ่งอยู่ในราศีธาตุเดียวกันแล้วย่อมให้คุณยิ่งใหญ่มาก เรืยกว่าอสีติธาตุ แต่บัดนี้เรื่องธาตุมีข้องพิจารณาแยกแยะเปลี่ยนแปรไป ด้วยมีดาวใหม่เพิ่มขึ้นอีก ๓ ดวง คือ มฤตยู เนปจูน และ พลูโต และมีเกษตรประจำเรื่อนราศีแน่นอน ไม่ต้องยุ่งยากเรื่องดาวพระเคราะห์ครอง ๒ เรือนอีกต่อไป จึงให้ดาวเกษตรในราศีนั้นๆครองธาตุประจำราศีแน่นอนเสียเลย เมือนำมาทำนายแล้วได้ผลแม่ยำมาก ซึ่งจะกล่าวต่อไปข้างหน้า
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)