แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ม.ศิลปากร แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ม.ศิลปากร แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2565

เกร็ดพงศาวดารของศิลปากร

 โดย..นายซีเนียร์




     สมัยนั้นสถานศึกษาของเรายังไม่หรูหราเป็นตึกทันสมัยอย่างนี้ และยังไม่มีคณะมากมายอุ่นหนาฝาคั่ง ตลอดจนนักศึกษาก็ไม่คับคั่งเหมือนสมัยนี้ มหาวิทยาลัยของเรามีอยู่คณะเดียวซึ่งเรียกรวมกันว่า คณะจิตรกรรมและประติมากรรม จำนวนนักศึกษาก็พอนับตัวได้ ที่เรียนของเราเป็นเพียงเรือนไม้ ปลูกรูปร่างคล้ายโรงทึม เรียงรายอยู่ 3-4 หลัง วางขวางสลับกันเหมือนโกดังเก็บของเก่าๆ หลังคามุงด้วยสังกะสี ฝนตกหนักๆเสียงดังกราวคล้ายกับใครยกกองทัพมารัวกลองมโหระทึกอยู่บนหลังคายังงั้นแหละ เวลาเกิดพายุจัดๆ มันสั่นคลอนราวกับจะพังทลายลงมาให้ได้ บางตอนหลังคารั่ว น้ำฝนไหลลงมานองห้องทีเดียว ตรงลานปูนซีเมนต์กว้างใหญ่ที่มีต้นจันเอนลำตัวเอียงทำมุม 45 องศาอยู่ต้นหนึ่งนั้น ก็ไม่ราบเรียบเหมือนอย่างที่เราเห็นนี้ จะเรียบบ้างก็เฉพาะตรงบริเวณใกล้ต้นจัน เพราะตรงนั้นมีลานบาสเก็ตบอลเก่าๆอยู่ลานหนึ่ง นอกนั้นก็เป็นเนินดินหญ้าขึ้นรกรุงรัง แซมด้วยต้นพังพวยฝรั่ง ถึงฤดูฝนจะออกดอกสีม่วงอ่อนๆสะพรั่งไปหมด เราเรียกกันว่าสวนดอกไม้ ทั้งๆที่ไม่มีใครไปปลูกมัน มันขึ้นของมันเอง เวลาเราเหงาๆ ไม่รู้จะทำอะไร มองออกไปจากห้องเรียนมันช่วยผ่อนคลายอารณ์ได้ดีเหมือนกัน ศิลปินที่มีชื่อเสียงสมัยนี้หลายคน เคยเขียนมันอย่างดูดดื่มราวกับเขียนภาพทิวทัศน์ของหุบเขาเมืองกาญจน์ แต่ผมว่าเขาคงไม่รู้จะไปเขียนมันที่ไหนเสียมากกว่า

     ฤดูฝนเป็นฤดูที่น่าเหนื่อยหน่าย สร้างความลำเค็ญใจแก่พวกเรามิใช่น้อย จะไหนก็ไม่ได้ อุดอู้อยู่แต่ในโรงทึม (ซึ่งเราเรียกกันโก้ๆว่า Studio ฟังดูก็เพราะดี )  ด้วยเหตุนี้เราจึงเขียนภาพทิวทัศน์ภายในอาณาเขตแคบๆ ของเรานี้หมดแทบไม่เหลือหลอ นับแต่ต้นประดู่ใหญ่หน้ากรม ต้นลั่นทมช่องแคบๆข้างตึกขาว ต้นมะละกอหลังห้องPainting แม้กระทั่งบนลานหน้าส้วม เราบันทึกภาพเหล่านี้ไว้หมด ถ้าถ่ายรูปก็คงเปลืองฟิล์มไปหลายกระบุงทีเดียว ฝนตกหนักๆเราเรียนกันไม่ได้เลย มันตกอย่างเป็นบ้างเป็นหลัง ผมว่าพวกเราสมัยนี้คงจะไม่รู้รสชาติของฝนสมัยก่อนหรอก มันตกอย่างหนักหน่วงเป็นเดือนๆไม่หยุดเลย ตกอย่างแรงเสียด้วยซิ คล้ายกับไปหอบเอาน้ำในทะเลมาเทพลั่กๆจจนนองเจิ่งไปหมด มันท่วมสวนดอกไม้ ( พังพวยบนลานปูน ) ท่วมหมดทุกสิ่งทุกอย่างแม้ในห้องเรียน ต้องยืนแช่น้ำสูงเลยตาตุ่มเขียนรูปกัน ท่านคงคิดซิว่าเราวอรี่มัน เปล่าเลย เรากลับสนุกกันเสียอีก สนุกเหมือนเด็กๆ โอกาสนี้เรารื่นเริงกันเต็มที่ ใครมีเสียงเท่าไรก็ตะเบ็งแข่งกับเสียงกลองมโหระทึกบนหลังคากันอย่างครื้นเครง

     แปลกที่ว่าแม้ฝนจะตกอย่างไม่ว่างเม็ดเป็นเดือนๆ เราก็ไม่เคยหนีโรงเรียนกันเลย เรามาทุกวัน เพระเรารักมันยิ่งกว่าบ้าน วันไหนขาดโรงเรียน วันนนั้นกลุ้มใจแทบตาย บางคนถังแตกไม่มีสตางค์ค่ารถ ก็ยังอุตส่าห์เดินตากฝนจากวัดสระปทุมมาจนถึงสนามหลวง แล้วก็เข้าฟังเล็คเช่อร์ทั้งๆที่เปียกมอมแมมยังงั้นแหละ เราขยันกันเป็นบ้า ทั้งๆที่เราชมตัวเองว่า ขยันถึงขนาดนี้ ก็ยังแพ้รุ่นพี่ ไม่รู้เขาเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน อย่างคุณมานะ บัวขาว ยังงี้ มาโรงเรียนแต่เช้ามืด พอวางหอบหนังสือสรรพตำราและเครื่องไม้เครื่องมือแล้ว ก็ลงมือเขียนรูปทันที เขียนไปจนตลอดวันเหมือนเครื่องจักร พวกเรานับถือเป็นวีรบุรุษของเราทีเดียว เราเรียกเขาว่า พี่นะ พี่นะเขียนสีน้ำเก่งอย่างชะมัดยาด เป็นต้นตำรับสีชุ่มๆ และเป็นเอตทัคคะทางเขียนรูปวัด จนเรียกกันติดปากว่า “ มานะวัด สวัสดิ์เรือ “  (สวัสดิ์ ก็คือ อาจารย์สวัสดิ์ ตันติสุข เราเรียนกกันว่า พี่หวัด คนนี้ก็ขยันอย่างน่ากลัว คล้ายๆกับจะเกิดมาเพื่อเขียนรูปยังงั้นแหละ)

     ในครั้งกระนั้นเป็นสมัยแห่งการเริ่มยุคศิลปะสมัยใหม่ของเมืองไทย เป็นสมัยที่เรายังไม่รู้สึกหยิ่งในเกียรติกันเหมือนอย่างสมัยนี้ เรื่องการดูถูกกันในเรื่องเครื่องแต่งกายแล้วเป็นไม่มี กลับจะยกย่องกันเสียด้วยซ้ำไป ยิ่งมอมแมมเท่าไรก็ยิ่งถือว่าหมอนี่ใกล้ความเป็นศิลปินเข้าไปแล้ว บางคนนุ่งกางเกงสีขี้ม้าตัวเดียว หรือไม่ก็ทรงชุดเวสปอยท์ตลอดปีตลอดชาติ บางคนก็ไว้ผมยาวยิ่งกว่าผู้หญิงสมัยนี้ แถมยังไว้หนวดเครารุงรังเสียด้วย ขึ้นรถเมล์ทีไรคนข้างๆต้องเอามือกุมกระเป๋า เขาไม่เข้าใจว่าเป็นศิลปิน คงนึกว่าเป็นนักล้วงกระเป๋า แต่พวกเราก็เฉยๆ ไม่ค่อยยินดียินร้าย ใครจะนึกคิดอย่างไรก็ช่าง เพราะเรากำลังหมกมุ่นในผลงานของเราจนไม่ค่อยมีเวลาคิดถึงเรื่องอะไร ยังจำได้ดีว่าวันหนึ่งอาจารย์ศิลป์พาเราไปดูงานศิลปะตกแต่งที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ เราไปกันทั้งชุดคนป่าคนดอยอย่างงั้นแหละ บ๋อยโรงแรมซึ่งแต่งตัวเอี่ยมลออยังกับ เจ้าชายในนิยาย มองดูพวกเราด้วยสายตาแปลกๆ ยิ่งกว่านั้นเมื่อเห็นผู้จัดการโรงแรมเดินเข้ามาต้อนรับ (ตอนนั้นเป็นฝรั่ง) อย่างพินอบพิเทา แถมยังเลี้ยงเครื่องดื่มอย่างดีเสียด้วย ขากลับบ๋อยเลยโค้งให้อย่างงามๆทีเดียว เรื่องการแต่งเนื้อแต่งตัวนี้ พวกผู้หญิงเป็นฝ่ายกู้หน้ากู้ตาเราไว้ได้ เพราะพวกเธอจะแต่งกายอย่างล้ำสมัยสวยงามอยู่ตลอดเวลา พวกเธอไม่อายเสียด้วยที่จะเดินกับเพื่อนชายที่มอมแมมไปตามถนน วิญญาณศิลปะคงจะฝังสายเลือดพวกเธอเสียแล้วกระมัง แต่เปล่าหรอกนะ ไม่ใช่ว่าเราจะขะมุกขะมอมอย่างนั้นเสียตาปีตาชาติ มิได้ เรามีเวลาที่หล่อเหลาอยู่บ้างเหมือนกัน เช่น ในงานรื่นเริงประจำปี หรือไม่ก็งานกินเลี้ยงวันเกิด (สมัยนั้นเป็นสมัยเห่อฉลองวันเกิด ใครจะเกิดวันไหนๆ เป็นหาเรื่องกินเลี้ยงกันเรื่อยๆ ) ถึงตอนนั้นเราจะเดาะเสื้อนอกผูกเน็คไท เล่นเอากันถึงจำหน้าจำตากันเกือบไม่ได้ บางคนหมาในกรมศิลปากรที่เคยเล่นกันทุกๆวัน ถึงแก่เห่าทีเดียว

     ที่โคนต้นมะขามสนามหลวงมีร้านอาหารอยู่ร้านเดียว คือ หาบเจ๊กขายสตูเนื้อวัว เป็นภัตตาคารประจำของพวกเรา กินกันจนเรอออกมาเป็นกลิ่นสตู นอกจากนี้พวกผู้หญิงมักจะห่อข้าวมารับประทานกลางวันกันเอง กับข้าวของเธอแต่ละอย่างล้วนวิเศษ พอเปิดห่อกลิ่นหอมฉุยจนพวกเราน้ำลายหยด เป็นของวิเศษทั้งนั้น เช่น หมูทอดกรอบ กู้งทอดตัวโตๆ ฯลฯ ห่อข้าวของเธอห่อใหญ่ขนาดกินสามคนไม่หมด ร้อนถึงพวกเราต้องเข้าไปช่วยจัดการให้เรียบร้อย ความจริงเธอคงเตรียมมาเผื่อพวกเราเสียมากกว่า และเราก็ชอบเสียด้วย เพราะมันอร่อยกว่าสตูข้างสนามหลวงเป็นไหนๆ

     พูดถึงเรื่องขยัน เดี๋ยวจะหาว่าพวกเราไม่รู้จักขี้เกียจ ความจริงพวกเราบทจะขี้เกียจแล้วบรมทีเดียว นอนกันทั้งวันก็มี ไม่ก็นั่งคุยกันเช้ายันเย็น ถึงเวลาขยันละก็ ให้ช้างมาดึงก็ไม่หยุด ฝนตกฟ้าร้องก็จะเขียนรูป บางทีก็ออกไปนั่งตากฝนเขียนรูปกัน เรื่องแผลงๆยังงี้พวกเราสร้างกันไว้เยอะ มีเรื่องเล่ากันไม่จักจบสิ้น บางคนไม่มีช้อนตักข้าวกิน ไปหยิบเอาชิ้นหัวกะโหลกคน ที่ใช้เรียน Anatomy เอามาล้างน้ำแล้วไปตักข้าวกิน บางทีก็พนันกินน้ำล้างสีที่ขุ่นยิ่งกว่าน้ำโคลน 1ขันเต็มๆ ต่อเงิน 10 บาท หมอนั่นเอาจริงๆ ล่อจนเกลี้ยงเกลา บางทีเล่นซ่อนหาปืนขึ้นไปแอบบนช่องเพดาน เลยพบที่ลึกลับใหม่สำหรับแอบขึ้นไปจับค้างคาวกัน บางคนนอนหลับ ถูเอาสีป้ายหนวดเข้าให้ กว่าจะรู้ตัวก็ถึงบ้านเสียแล้ว ผู้หญิงละก็ซนไม่ใช่เล่นทีเดียว ปืนตันจันอย่างกับผู้ชาย ขึ้นไปเก็บลูกจันโยนลงมาให้เพื่อนข้างล่าง ส่วนพวกผู้ชายบางคนอยู่ในห้องเรียนทำตัวเหมืออยู่กับบ้าน นุ่งผ้าขาวม้าก็มี สมัยนั้นน้ำประปากระปริบกระปรอย บางคนนุ่งผ้าขาวม้าไปตักน้ำที่ท่อข้างถนนริมสนามหลวงมารดรูปปั้น ความจริงก็ไม่น่าอายใคร เพราะสนามหลวงสมัยนั้นไม่มีคนพลุกพล่าน นานๆจะมีคนเดินผ่านสักคน กลางสนามกลวงหญ้าขึ้นรกสูงเกือบท่วมหัว เราเรียกกันว่าดงเสือ เดือนผ่านยังไม่อยากจะเฉียดเสียด้วยซ้ำไป กลัวงูซึ่งมีชุมอยู่ในนั้น เรามักจะนั่งเล่นกันตรงสนามสามเหลี่ยมหน้ากรม เพราะมีม้านั่งแบบในปาร์กทุกโคนต้นมะขาม วันดีคืนดี เราจะไปนั่งดูหนังสือกันคนละม้า จองกันเต็มไปหมด ส่วนมากเป็นหน้าหนาวใกล้จะสอบปลายปี ถือโอกาสนั่งตากแดดเอาวิตามินซีกันตอนเช้าๆเสียหน่อยก่อนเข้าเรียน

     ห้องเล็คเช่อร์ของเราเป็นชั้นๆ ต่อขึ้นเหมือนอัฒจันทร์ ตอนเช้าๆพวกเรามักจะเข้าไปนั่งคอยอาจารย์ที่จะเข้าสอนอยู่ในห้องเล็คเช่อร์นี้ นั่งดูตัวค้างคาวที่เกาะอยู่ ตามมุมเพดานห้องบ้าง ซ้อมมือเขียนAnatomy บนกระดานดำบ้าง บางคนก็ไปนั่งลูบคลำที่โครงกระดูก ท่องบ่นไปเหมือนสาธยายมนต์ เหมือนเห็นห้องเล็คเช่อร์มันเงียบเหงานัก ก็เลยงัดเอาเพลงสุนทราภรณ์มาร้องกันจนเสียงระงมไปทั้งห้อง ดูทุกคนช่างเป็นนักร้องและร้องกันอย่างจริงๆจังๆเสียด้วย ตอนนั้นเพลงฝรั่งเราไม่ค่อยนิยมกัน บางคนเก่งยิ่งไปกว่านั้นงัดเอาเพลงของ จำรัส สุวคนธ์ ขึ้นมาร้องบ้าง เพลงที่ฮิตกันสมัยนี้อย่าง Come back to Sorrento หรือ Santa Lucia เราไม่รู้จักกันเอาทีเดียว


     แบบที่เราใช้สำหรับเขียนรูป นอกจากหุ่นปูนปลาสเตอร์แล้ว ก็ยังมีแบบคนซึ่งเป็นภารโรงแก่ๆ คนเดียวคือ ลุงสาย เราเขียนลุงสายกันจนจำขึ้นใจแทบจะหลับตาเขียนได้ นานๆทีจึงจะมีแบบใหม่ๆมาสักคน พอหาแบบไม่ได้ เราก็จำต้องเขียนลุงสายกันต่อไป จนแทบจะกระอักออกมาเป็นลุงสายให้ได้ ลุงสายแกก็ใจดีเสียด้วย นั่งนิ่งยังกับรูปปั้น แบบสมัยนี้สู้แกไม่ได้เด็ดขาด แบบอีกคนหนึ่งเพิ่งได้มาทีหลังแทนลุงสาย เราเรียกกันว่า จอห์น  อ้วนเหมือนแขกพาหุรัด ทั้งที่อ้วนออกอย่างนั้น กล้ามเนื้อหลบในหมด เรายังอุตส่าห์เขียนจนเห็นกล้ามเนื้อนูนออกมาเหมือนทาร์ซาน เรื่องนี้ก็คงจะมาจากจิตใต้สำนึกของพวกเรานั่นเอง เพราะเราใฝ่ฝันกัน อยากจะได้แบบที่มีทรวดทรงงามๆสักคนหนึ่ง จนแล้วจนเล่าก็ไม่มีแผ้วพานมาสักคน

     ถัดจากสมัย Primitive นี้มา ก็เข้าสู่สมัย Archaic สมัยนี้อารยธรรมของนักศึกษาตื่นตัวเต็มที่ มีการตั้งกรรมการนักศึกษา มีธรรมนูญการปกครอง ขณะที่ทางธรรมศาสตร์มีการเรียกร้องความเห็นใจด้วยการกรีดเลือด ทางศิลปากรเราก็วุ่นวายอลเวงไม่ใช่น้อย ความวุ่นวายเหล่านี้เกิดขึ้นพร้อมกับวิถีการเมืองในสมัยนั้น ภาพนักการเมือง ที่มายืนตะโกนพูดอย่างห้าวหาญกลางฝูงขนที่สนามหลวง เป็นภาพใหม่ๆ ที่ตรึงตาพวกเรามิใช่น้อย สิ่งเหล่านี้เป็นแฟชั่นระบาดเข้าสู่สำนักศึกษาทั่วไป มีหลายคนในพวกเราพยายามทำตนเป็นนักการเมือง ไปยืนพูดกลางสนามหลวงกับเข้าบ้าง บังเอิญว่าวาทะศิลปแกดี เลยมีคนล้อมหน้าล้องหลังตามกันเป็นพรวน จำได้ว่าพวกเราเชียร์พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งสมัยนั้นมีนักพูดฝีปากชั้นยอด คือ ดร.โชติ คุ้มพันธุ์ และ มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ถึงแก่เขียนโปสเตอร์ให้ฟรี เราช่วยกันด้วยจิตใจแท้ๆ เพราะสมัยนั้น นักากรเมืองคณะนี้ยากจนและเข้มแข็ง คนกำลังนิยมกันอย่างแพร่หลาย แต่เราอย่าไปพูดถึงเรื่อการเมืองกันเลย หันมาพูดเรื่องของเราดีกว่า ผมเพียงแต่ยกประวัติศาสตร์มาให้ดูว่าพวกเราเป็นมากันอย่างไรเท่านั้น เพราะน้อยคนนักที่จะรู้ว่าเราพยายามต่อสู้และวิ่งเต้นทางในกันอย่างสุดความสามารถที่จะช่วยดำรงฐานะความเป็นอยู่ของเราไว้ เนื่องด้วย พระราชบัญญัติยุบเลิกมหาวิทยาลัยศิลปากรกำลังเข้าสู่สภา และมหาวิทยาลัยเราถูกปิดโดยปริยายมาพักหนึ่งแล้วเพื่อรอการยุบ เราเข้าหานักการเมืองคนสำคัญหลายท่าน และเราพยายามทุกๆอย่างที่จะให้มหาวิทยาลัยของเราคงอยู่ นักศึกษาชั้นหัวหน้าของเราเข้าไปนั่งฟังในสภา ส่วนพวกที่เข้าไม่ได้ก็ไปนั่งจับเจ่าคอยฟังข่าวอยู่ในเขาดินวนา มันเป็นสมัยวิปโยคที่สุด แต่เราก็ยังได้รับการเห็นใจจากเพื่อนนักศึกษาทุกมหาวิทยาลัยในขณะนั้น นักศึกษาธรรมสาสตร์ พร้อมที่จะเดินขบวนช่วยประท้วงให้ด้วยความเต็มใจ น้ำตาของพวกเราไหลซึมด้วยความปิติ เราพยายามร่วมกอดคอกันสู้อย่างทรหด ผลที่สุดพระราชบัญญัติฉบับนั้นก็ตกไป เป็นอันว่าเราลืมหน้าหายใจกันได้อีกแล้ว เราพากันถอนใจใหญ่าอย่างโล่งอก แต่นี้ไปคงจะเข้าสู่ยุคแจ่มในกันเสียที และเหตุการณ์ครั้งนี้เราได้รับรู้ว่า แต่นี้ไป เราจะอยู่โดยลำพังผู้เดียวไม่ได้ การสังคมระหว่างมหาวิทยาลัยทำให้หูตาเรากว้างขวางขึ้น บทเรียนแต่หนหลังทำให้เราซาบซึ้งดีถึงคำว่า สามัคคี ระหว่างเพื่อนนักศึกษา เราจะไม่ลืมมันเลย

     และเราก็เข้าสู่สมัย Classic  อันแจ่มจรัส ท่านศาสตรจารย์ของเราซึ่งถึงแก่ต้องกลับไปอยู่ยังต่างประเทศพักหนึ่ง ได้กลับมาให้ความอบอุ่นแก่เราอีก หน้าตาเรายิ้มแย้มแจ่มใสเข้าหากัน ความหลังเก่าๆ เราผลักกระเด็นไปหมดสิ้น แต่นี้ไป เราควรจะรื่นเริงกันได้แล้ว เลิกเสียทีชีวิตที่อุดอ็จำเจอยู่แต่ดินและสีฝุ่นผสมกาวกลิ่นบูดๆ เราจะไม่คลั่งไคล้มันเกินไป จนถึงแก่ไม่ลืมเปลือกตาดูโลกข้างนอก เราจะต้องเรียนกันอย่างดีที่สุด พร้อมกันนั้นเราจะต้องปฏิรูปตัวเราเองด้วย

     เริ่มแรกทีเดียวเราก็กวาดฝุ่นละออง เศษขยะ ทุกสิ่งทุกอย่างแม้แต่กะลาบดสีฝุ่น เอามากองรวมเป็นกองใหญ่และเผามันเสีย มีหลายคนมองดูกะลาที่ลุกโชติช่วงอย่างเสียดาย ถูกแล้วกะลาเป็นเพื่อนยากกับเรามานานพอที่จะรู้สึกอาลัยอาวรณ์กันบ้าง แต่เราก็ตัดใจได้ เพราะเราจะใช้พัสดุที่ดีและทันสมัยกว่านี้ กลางคืนเราถางดงกล้วยหลังห้อง Painting และหลังห้องปั้น กวาดล้างกันอย่างใหญ่โต เราจะเริ่มปลูกสวนดอกไม้จริงๆกันเสียที วิธีโค่นต้นกล้วยของเรามีแบบต่างๆกัน บางคนใช้กำลังแซมซั่นกระโจนเข้าถอนแบบสุครีพอย่างไม่กลัวหมดเปลืองกำลัง มีผู้หญิงหุงห้าวต้มมาเลี้ยงเสียด้วย เพราะแรงสามัคคีกันอย่างนี้แหละ เพียงร่วมแรงร่วมใจกันพักเดียวเท่านั้น รอบๆอาณาบริเวณมหาวิทยาลัยของเราก็ดูสะอาดตาขึ้น มีสวนดอกไม้ มีม้านั่งหินอ่อน มีบาร์ทันสมัยตบแต่งหรูหราราวกับเรสโตรองท์ มีอาหารและเครื่องดื่มทุกชนิด ไม่ต้องพึ่งเจ๊กขายสตูอีกต่อไป ถึงฤดู Vacation จะมีโปสเตอร์ชักชวนติดเต็มไปทุกหนทุกแห่ง การเลือกกรรมการนักศึกษา และ หัวหน้านักศึกษา ผู้สมัครจะต้องไปยืนพูดหาเสียงเรียงตัว โฆษณาให้ตัวเอง มันทั้งสนุกทั้งขบขันอะไรเช่นนั้น และเราก็อยู่กันมาได้จนบัดนี้

     ความจริงผมพยายามจะลืมมัน แต่ก็ลืมไม่ลงสักที ถึงได้เขียนมาเล่าสู่กันฟัง เนื่องด้วยเขียนมาจนเปลืองหน้ากระดาษเยอะแล้ว จึงขอจบพงศาวดารของพวกเราเพียงนี้ ถ้ามีโอกาสคงจะได้หาเรื่องมาเล่ากันอีก เพราะเรื่องมันยังมีอีกมากมาย เล่ากันไปอีกนานปีก็ไม่รู้จบ สวัสดี.

ปล. นายซีเนียร์ เป็นอีกนามปากกาของ ประยูร อุลุชาฎะ

เหล้าเก่าในแก้วเก่า

โดย...นายซีเนียร์



     เมื่อตอนที่ผมย่างเข้ามหาวิทยาลัยใหม่ๆนั้น ผมยังจำภาพที่สับสนขณะเมื่อเริ่มเข้ามาฝึกมือก่อนที่จะมาเอนทรานซ์เข้าอย่างติดตา พวกเราเป็นรุ่นที่4 หรือที่สมัยหลังเขาเรียกกันว่า รุ่นก๊อก นั่นแหละ  ตอนนั้นแห่มาสมัครสอบถึง 30 คน นับว่ามากเป็นประวัติการณ์ของสมัยนั้น แต่ไปๆมาๆ พอถึงปีสุดท้ายคือปีที่3 กลับเหลือเพียง 5 คน เท่านั้น พวกที่หายไปนั้นมีอันเป็นไปต่างๆ คือสอบตกบ้าง ลาออกไปบ้าง ไม่มีทุนเรียนต่อบ้าง หายหน้าไปเสียเฉยๆบ้าง นับว่าพวกที่เหลือ 5 คน นั้นช่างทรหดพอใช้ ว่าที่จริงแล้ว เมื่อนึกถึงเหตุการณ์สมัยนั้นแล้วก็น่าเห็นใจ เพราะเป็นสมัยสงครามและคาบเกี่ยวกับระยะเมื่อสงครามโลกครั้งที่2 พึ่งยุติลงใหม่ๆ สภาพความเป็นอยู่ขอคนในกรุงเทพฯ สมัยนี้นแสนลำเค็ญเหลือประมาณ จะซื้อผ้าซื้อน้ำตาลก็ต้องใช้บัตรปันส่วน และต้องเข้าคิวกัน อะไรต่ออะไรมันไม่สะดวกสบายไปทุกอย่างเหมือนสมัยนี้ ด้วยเหตุนี้การที่เห็นพวกเรานุ่งกางเกงตัวเดียว ตลอดปีตลอดชาติ มันก็ไม่ใช่ของแปลกสำหรับสมัยนั้น ปัญหายุ่งยากหลายอย่างที่เราประสบกันก็คือ เราไม่รู้จะไปหาซื้อสีมาเขียนรูปได้ที่ไหน เรื่องกระดาษอย่าไปพูดถึงกันเลย มันแพงหูฉี่ ใครมีกระดาษวอทแมนเขียน ก็ต้องนับว่าเขาเป็นเทวดาจุติลงมาเกิดกันได้แล้ว

     เมื่อตอนที่เรามาฝึกมือเขียนรูประหว่างปิดภาคปลายของมหาวิทยาลัยนั้น ตอนนั้น ต้องใช้กระดาษห่อของมาเขียน ครอว์อิ้งกัน กระดาษห่อของก็เป็นกระดาษชนิดเดียวกับที่เขาใช้พิมพ์หนังสือพิมพ์ปัจจุบันนั่นแหละ ถ้าใครวิเศษหน่อยก็อาจจะไปสรรหากระดาษห่อของชนิดหนาๆ สีน้ำตาลและสีเทามาได้บ้าง ที่มหาวิทยาลัยมีกระดาษขายเหมือนกัน เป็นกระดาษสำหรับร่างเขียนแบบงานสถาปัตย์ ผิวมันและลื่น เราไม่ค่อยนิยมกันเท่าไหร่นัก ส่วนมากก็ใช้กระดาษปรู๊ฟกันเป็นพื้น แม้ว่ามันจะบางไปหน่อย พอโดนยางลบ 2-3 ที ก็ขาด ก็ไม่เป็นไร พอทนประคับประคองไปได้ ดินสอที่ดีที่สุดในสมัยนั้น ก็คือ ดินสอดำตราช้าง แล้วก็ดินสอตราพระจันทร์ อย่างดำที่สุดมีแค่ 4B เท่านั้น อย่าไปหาดินสอใส้โตๆขนาด 6B หลายต่อหลายยี่ห้ออย่างสมัยนี้เสียให้ยากเลย สมัยนั้นหาทำยายาก เรื่องยางลบนั้นมันแพงเสียจนเราไม่ค่อยใช้กัน เวลาจะเขียนรูปก็ต้องคอยหยิบยืมกัน ส่วนมากผู้หญิงเป็นฝ่ายมียางลบ ว่าที่จริงมันก็ไม่ค่อยแพงเท่าไหร่ คงจะเป็นเพราะเราขี้เกียจซื้อกันเสียมากกว่า

     ระหว่างที่พวกเรามาฝึกมือกันนั้น ก็มีรุ่นพี่ๆ มาช่วยแก้งาน มาติชมให้บ้าง คนที่ช่วยพวกเราและเป็นกันเองกับเราที่สุดก็คือ พี่พูน ( พูน เกษจำรัส )  บางวันพี่พูนก็ร้องเพลงแหล่ให้ฟัง  เสียงกึกก้องสตูดิโอกันทีเดียว พอเสียงรองเท้าเดินกึกๆ และเสียงเขย่าพวงกุญแจเดินครงมาที่ประตูห้องเท่านั้น พี่พูนเงียบกริบเป็นปลิดทิ้ง แล้วก็หาทางเลี่ยงออกทางประตูอื่นไป บุคคลที่เข้ามาและสามารถสะกดให้พวกเรางงจังงังไปหมดนั้น ท่านผู้นี้คือ ศาสตราจารย์ศิลป์  พีระศรี  สมัยนั้นท่านดุมาก พวกเรากลัวกันลนลาน เคยมีรุ่นลายครามคือ อาจารย์แสวง สงฆ์มั่งมี ท่านเคยเล่าให้เราฟังว่า ตอนที่ท่านเรียนอยู่นั้น อาจารย์ฝรั่งดุยิ่งกว่านี้ คราวหนึ่งไฟไหม้แถวบ้านหม้อ ท่านกับเพื่อนก็แอบหนึไปดูไฟกัน กลับมาถึง ปรากฏว่า อาจารย์ยืนคอยอยู่ในห้องแล้ว ท่านถามว่าไปไหน อาจารย์แสวงใจหายหมดไปทั้งตัว ทำใจเย็น บอกว่าไปดูไฟไหม้มา เท่านั้นแหละอาจารย์ฝรั่งก็ตวาดลั่นห้อง จับตัวท่านโยนกระเด็นออกไปนอกห้อง เพราะสมัยนั้นการสอนเข้มงวดมาก ไม่ยอมให้มีเวลาว่างกันเลยแม้แต่น้อย

     เรื่องกลัวอาจารย์ฝรั่งนี้ เล่ากันว่ามีแทบทุกรุ่น รุ่นหลังๆ ผมเคยเห็นคาตาบ่อยๆหลายครั้ง ครั้งหนึ่งพวกนักศึกษา รุ่นจูเนียร์ กำลังยืนคุยกันอยู่ที่บาร์ ซึ่งเตรียมสร้างไว้สำหรับการต้อนรับน้องใหม่ มีอยู่ 5-6 คน รวมทั้ง โทนี่ ด้วย ( แอนโทนี่ พี ด๊อกเตอร์ นักศึกษาจากฟิลิปปินส์ มาเรียนต่อสมัยนั้น )  ระหว่างที่กำลังคุยกันอยู่นั้น ทุกคนเหลือบมองไปเห็น อาจารย์ฝรั่งเดินลับมุมตึกตรงมา ต่างก็รีบหนีกันกระจายไปคนละทิศ คนหนึ่งวิ่งหลบเข้าไปในห้อง อีก 2 คน วิ่งหนีขึ้นไปบนกรมศิลปากร บางคนวิ่งลับมุมห้องเพ้นท์ติ้งไป คนหนึ่งคือ ประโชติ สโมสร  หลบแวะเข้าไปใต้เคาเตอร์ใกล้ๆนั่นเอง ทำให้นายโทนี่ซึ่งยืนคุยด้วย งงเป็นไก่ตาแตก พอเขาเหลือบไปเห็นอาจารย์เข้าเท่านั้นก็เลยเผ่นเข้าไปนั่งหลบอยู่กับประโชติบ้าง ความจริงโทนี่เพิ่งจะเข้าเมืองไทยมาได้เดือนเศษๆเท่านั้น ยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอะไร แต่ที่พลอยหลบไปด้วย คงจะเป็นเพราะสัญชาตญาณหมู่เสียมากกว่า






     นอกจากรุ่นพี่ๆ จะมาฝึกมือให้แล้ว ก็มี อาจารย์สนั่น ศิลากรณ์ อีกท่านหนึ่ง ท่านมาสอนพวกเราทุกๆวัน พวกเรารักท่านมาก เพราะท่านเป็นอาจารย์ที่เอาใจใส่ มาสอนตรงเวลาทุกครั้งไม่เคยขาด แม้วันเสาร์ วันอาทิตย์ก็ยังมา ไม่ยอมพักผ่อนเหมือนกัน การฝึกมือในสมัยนั้นนับว่าได้ผลดีมาก พอถึงคราวสอบเอนทร้านส์เข้ามหาวิทยาลัย ก็ปรากฏว่าพวกเราสอบกันได้หมดทุกคน

บรรยากาศของศิลปากร ในสมัยนั้นดูศักดิ์สิทธิ์ยังไงขอบกล ไม่ว่าจะย่างเจ้าไปในห้องใด จะพบรูปปั้นวางระเกะระกะเต็มไปหมด แม้บนลานปูนก็จะมีรูปทหาร (จากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ) ตั้งสูงตระหง่านยืนติดหลังคาวางอยู่เป็นระยะๆ ห้องเรียนของเราเป็นสตูดิดอขนาดใหญ่ มีอยู่ 3 หลัง หลังแรกขวางอยู่ด้านทิศใต้ใกล้กับตึกขาวของ พระพรหมพิจิตร ห้องนี้เรียกว่าห้องดรอว์อิ้ง พวกเรามาฝึกมือกันในห้องนี้แหละ ห้องนี้ยังนับว่าเป็นห้องใหญ่ที่สุด สมัยเมื่อมหาวิทยาลัยศิลปากรจัดให้มีการแสดงศิลปกรรมแห่งชาติครั้งแรกๆนั้น ก็จัดแสดงกันในห้องนี้เอง มีทางผ่าน แยกเป็นห้องเล็กไว้อีกห้องหนึ่ง  ห้องนี้เป็นห้องของ ศาสตราจารย์ พระเจนดุริยางค์ สมัยนั้นมี คณะดุริยางค์ศาสตร์ ด้วย แต่ยังไม่ได้เปิดการสอน ในห้องนั้นมีเปียโนขนาดใหญ่อยู่หลังหนึ่ง จะมีเสียงเปียโนดังอยู่ตลอดทั้งวัน ดูเหมือน คุณเทพ จุลดุลย์ ก็เคยมาฝึกเล่นอยู่พักหนึ่งเหมือนกัน เมื่อเวลาเราเขียนดรอว์อิ้งกัน ก็จะมีเสียงเปียโนบรรเลงให้ได้ยินเป็นแบ๊คกราว์น เป็นการฝึกรสนิยมให้เราหันมาชอบเพลคลาสสิค กลายๆอยู่ในตัว

     ถัดจากห้องดรอว์อิ้งไปทางทิศเหนือ คือด้านที่ใกล้กับหอสมุด ตรงนั้นเป็นห้องเพ้นท์ติ้ง พวกซีเนียร์เขายึดครองอยู่ที่ห้องนี้ มีอยู่ 3-4 คน พวกนี้ซีเรียสมาก เราเคยไปชะโงกภายในห้อง เห็นเขาจัดหุ่นสติลไลฟ์เป็นกรุ๊ปแตรวงขนาดใหญ่ มีกลอง แตร และ เครื่องเคราทางดนตรีอย่างครบครัน แต่ละคนกำลังยืนเขียนรูปสีฝุ่น อย่างขมักเข้มนบนแผ่นกระดาษไม้อัดสูงท่วมหัว เขาเขียนเสียเหมือนมาก แม้เชือกที่ขึงกลองก็เขียนหมด กระทั่งเกลียวเชือก แตรทองเหลืองก็เขียนเป็นมันวับ เขียนกันหลายอาทิตย์ เราต้องแอบไปดูบ่อยๆ แต่ไม่กล้าเข้าไปเพราะแต่ละคนหน้าตาขึงขัง เขาไม่ยอมยิ้มกับพวกเราเสียเลย ทำเอาพวกเรากลัวไปตามๆกัน มีอยู่คนหนึ่งชื่อ สวัสดิ์ ตันติสุข ดูเหมือนอายุน้อยกว่าเพื่อน เคยยิ้มกับพวกเราบ้าง แต่เมื่อเขาเข้าไปอยู่ในห้องนั้น เวลาเราโผล่หน้าเข้าไป มองหน้าเขายังไม่มองเลย เขาเขียนรูปกันไปทั้งวัน จะพูดว่าทั้งคืนก็พูดได้ เพราะพอเรามาถึงมหาวิทยาลัย ก็เห็นพวกนี้อยู่ในห้องเสียแล้ว ถ้าเขาไม่เขียนรูปทั้งคืน ก็คงมาดรงเรียนกันแต่เช้ามืดแน่ๆ ห้องนี้เงียบสงัด เราได้ยินแม้เสียงกิ่งต้นจันหน้าห้องส่ายพลิ้วไปกับลมเบาๆ มันผิดกับห้องดรอว์อิ้งเสียลิบลับ แทบจะพูดว่าเป็นคนละโลก ห้องดรอว์อิ้งซึ่งเป็นห้องแรกที่เรารู้จัก ใครต่อใครเมื่อย่างเข้ามาในดินแดนนี้ จะต้องรู้จัก ห้องนี้ก่อนทั้งนั้น มันสว่างไสว เพดานสูงลิบลิ่ว หน้าต่างกระจกยาวเหยียดสุดลูกหูลูกตา เราตะเบ็งร้องเพลงกันอย่างกึกก้องในบางโอกาสได้อย่างเสรี ไม่เคยมีใครห้าม เรายังเคยคิดกันเลยว่า ถ้าเราเรียนต่อไปจนได้มีโอกาสอยู่ในห้องซีเนียร์บ้างแล้ว มิต้องเป็นใบ้ไปตามๆกันหรือ มันเงียบเหงาวังเวงห่อเหี่ยวยังไงขอบกล ซ้ำหลังห้องซีเนียร์ ซึ่งต่อมาเรียนกกันว่าห้องเพ้นท์ติ้งนั้น มีดงมะละกอหนาทึบ ที่ดงมะละกอแห่งนี้ เคยมีนิยายเล่ากันมาหลายสมัย ต่างก็อ้างอิงว่ามะละกอเคยช่วยชุบชีวิตคน    ยามอดอยากมาแล้วเกือบทุกรุ่น แม้ในรุ่นของ อุไร ศิริสมบัติ เขาก็เคยคุยว่า เคยเอามะละกอดิบมาต้มกินเหมือนกัน

     หลังจากสอบเอนทร้านซ์ได้แล้ว เราก็เริ่มเรียนปีที่1 ภายในห้องโถงใหญ่นั่นเอง เรียนรวมปนเปไปกันพวกปีที่2 ส่วนพวกปีที่3 ไม่มีตัวตนแล้ว ได้ข่าวแว่วๆว่า สอบตกหมด เลยหายหน้ากระจัดกระจายไปหมด พวกเราปีที่1 ถึง ปีที่2 ขลุกอยู่ในห้องเดียวกัน มันเป็นโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลเสียนี่กระไร นานๆที เมื่อเรามองไปยังห้องตรงข้ามกับลานสนามหญ้าที่พวกซีเนียร์เขาหมดตัวอยู่กัน เราอาจจะเห็นคุณจิตติ จูฑะพล ซึ่งรูปร่างเล็กผมหยิก คาบไปป์ทั้งวัน ออกมายืนพ่นควันอยู่หน้าห้อง บางทีก็เห็นพี่นะ (มานะ บัวขาว) เดินหิ้วกระป๋องน้ำ ถือกระดานสเก็ตซ์เข้าไปในวัดพระแก้ว พวกเราบางคนจะวิ่งไปรับอาสา ช่วยหิ้วกระป๋องน้ำให้ ทั้งนี้ก็เพื่อจะหาโอกาสดูพี่นะเขียนรูป จะได้จดจำไว้เป็นแบบอย่างบ้าง ผมเคยรับอาสาหิ้วกระป๋องน้ำตามพี่นะ เข้าไปวัดพระแก้วหนหนึ่ง เลยเช็ดจนตาย หิวก็หิว เพราะพี่นะแกไม่ยอมออกมากินข้าวกลางวัน แกเขียนจนคนเฝ้าวัดต้องมาเตือนจะปิดประตูจึงออกมาใกล้ค่ำเต็มที พี่นะเขียนรูปเต็มกระดาษวาดเขียนแผ่นใหญ่ แล้วนั่งร่างทั้งวัน ลากเส้นตรงยังกับใช้ไม้บรรทัด แก้ไขเปอร์สเปคตีฟอยู่ทั้งวัน ผมไปเดินดูรูปรามเกียรติ์อยู่หลายต่อหลายรอบ กลับมาพี่นะยังไม่ระบายสีสักที ต้องกลับไปนอนที่ศาลาราย หลับไปตื่นหนึ่ง กลับมาพี่นะยังไม่เปิดกล่องสี จนกระทั่งกลับ พี่นะยังเอาเชือกมาขึ้งตรวจดูเปอร์สเปคตีฟบนพื้นห้อง ตรวจง่วนอยู่จนมืดจึงกลับ วันรุ่งขึ้นจึงระบายสี สมัยนั้นแขียนกันแบบอะคาเดมิค ใครเขียนเส้นเดินผิด เปอรสเปคตีฟผิด อย่าไปหวังเอาคะแนนเลย ผมเองเขียนวัดมาเสียจนเบื่อเรื่องเปอร์สเปคตีฟ พอวันไหนเข้าวัดแล้ว เท่ากับเดินเข้าตะแลงแกงแขวนคออย่างชัดๆ ด้วยเหตุนี้ เมื่อเห็นรุ่นพี่ เขาเชี่ยวชาญในเรื่องนี้ ทำเอาเราท้อแท้ใจไปตามๆกัน อนาคตของพวกเราเบื้องหน้านั้น นึกอยู่อย่างเดียวว่าจะไปรอดหรือไม่รอดเท่านั้น

     น่าเสียดายที่เรามักคิดว่า เราควรจะมีกล้องถ่ายรูปบันทึกบทเรียนบนกระดานดำไว้ทุกครั้ง จะได้เป็นประโยชน์กับคนรุ่นหลังเป็นอย่างมาก เนื่องด้วยบางชั่วโมงที่สอนโดยท่านผู้เชี่ยวชาญ คือ ชั่วโมงศิลปะไทยของ อาจารย์พระเทวาภินิมมิต และ ชั่วโมงสถาปัตยกรรมไทย ของ อาจารย์พระพรหมพิจิตร ทั้งสองท่านนี้ แม้ว่าจะแก่มากแล้ว แต่ท่านก็สามารถเขียนแบบอย่างศิลปไทยลงบนกระดานดำได้สวยงาม ชัดเจน และบางอย่างก็ไม่มีอยู่ในตำราเล่มไหนๆ เมื่อหมดเวลาเรียน รุ่งขึ้นก็ต้องลบทิ้งหมด ผมยังจำได้ติดตาว่า ครั้งหนึ่งอาจารย์พระเทวาภินิมมิต เขียนรูปพระเมรุและ ปราสาทให้เราดูทั้งหลัง เต็มกระดานดำเพื่อให้เราลอก ภาพนั้นเขียนอย่างวิจิตรประณีตยิ่งนัก ถ้าได้ถ่ายรูปไว้จะมีคุณค่ามาก เพราะเดี๋ยวนี้ท่านล่วงลับไปแล้ว เรายังบ่นเสียดายอยู่แม้ในขณะนี้

(ติดตามอ่านต่อในตอนหน้า)

ปล. นายซีเนียร์ คืออีกนามปากกาของ ประยูร อุลุชาฎะ

วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2565

พงษาวดารสังเขปมหาวิทยาลัยศิลปากร

 โดย..นายซีเนียร์




จักดำเนิร พงษาวดาร สำนักศิลปศาสตร นามว่า มหาวิทยาลัยศิลปากร โดยลำดับโบราณสืบๆกันมา ในอาณาจักรพรรณไม้ลั่นทม อันมีปริมณฑลเขตต์จตุรัส สติตย์เนาว์ ณ เบื้องอุดรทิศแห่งพระราชวังหลวง อันเบื้องปัจจิมทิศมีวังร้างเป็นขอบเตต์สีมา สมเด็จ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงเสด็จครอบครองอยู่ ณ สมัยหนึ่ง ทรงเป็นองค์เอกอัครมหาศิลปินแห่งเมืองบางกอกราชธานีแด่งสยามประเทศ มีนามอันโอฬารว่า กรุงเทพพระมหานครมอรรัตนโกสิทร์ฯ นั้นฯ

ลุศักราช ๑๓๐๕ ปีมะแม เบ็ญจศก วันอังคาร ขึ้น๗ ค่ำ เดือน๑๑ เพลาเที่ยงกับเก้าบาท สถาปนามหาวิทยาลัยศิลปากร ได้อุดมฤกษ์ พระจันทรโคจร สู่บาทฤกษ์สุดท้ายของราศีพิจิก สติตย์เด่นกลางกลุ่มดาวเชฐณี ประกอบด้วยสมโณแห่งฤกษ์ สุริยคติกาลตรงกับเดือน ตุลาคม วันที่๕ พุทธศักราช ๒๔๘๖ นั้นแล ครั้งนั้นสูติกาลอุบัติขึ้น ณ ท่ามกลางสภาในพระราชนิเวศน์ คือพระที่นั่งอนันตสมาคม บรรดาท้าวพระยามุขมนตรี กวีชาติและราษฎรทั้งหลายพร้อมกันสถาปนาขึ้น

แต่เบื้องบรรพกาลนั้น มานพน้อยผู้มีฉวีกายอันงามบริบูรณ์ด้วยอุปนิสัยบรามีศิลปญาณ บำเพ็ญกิจพากเพียรเล่าเรียนในศิลปกรรมศาสตร์จนล้ำหน้าบุรุษอื่นสิ้น รู้แจ้งชำนิชำนาญในกมลสันดานแห่งศิลป์ จนเป็นที่รักของท่านอาจารย์ เธอมีนามว่า แช่ม ขาวมีชื่อ ได้สร้างกิตติคุณขจรขจายไปไกลแม้ในเมืองมะระกัน ข้ามทะเลโพ้นก็ยังส่งงานไปร่วมนิทัศการกับเขาพร้อมด้วยเหล่าสหายร่วมสำนักอันกอปรด้วย สิทธิเดช แสงหิรัญ๑ , สนั่น ศิลากร๑ , พิมาน มูลประมุข๑ , อึกทั้ง อนุจิตร แสงเดือน๑ บุรุษเหล่านี้นับว่าเป็นผู้นำเกียรติยศแห่งสำนัก ให้นฤโฆษบันลือทั่วไปในแผ่นดิน จวบจนร่วมนิทัศการศิลปวันมหกรรมเฉลิมรัฐธรรมนูญ ณ มณฑลวังสราญรมย์ แม้ ณ สนามเสือป่าก็ดี ย่อมยังจิตของมวลชนนิกรให้สโมสรสุขประสาทเปรมปรีดิ์รู้ค่าแห่งศิลปรสเป็นอุปัตติบังเกิดแต่หนแรกเบื้องปฐมแห่งประชาธิปไตยสมัยนั้นแล ในลำดังนั้น มุขมนตรี ฯพณฯ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ลีลาศมาร่วมสโมสรสันติบาตพร้อมมนตรี อธิบดี ทั้งหลาย ได้ทัศนาการ เชยชม อุดมสิริวิลาส จิตรการ ประติมาการ อีกทั้งบริสุทธ์ศิลปทั้ง๕ ก็มีจิตชื่นชมโสมนัส จึงเปล่งอุทานวาทีว่า อันศิลปที่บุรุษไทยพากเพียรฝึกฝนจนเกิดความชำนิชำนาญ อาจเนรมิตรศิลปวิเศษได้เช่นนี้ ย่อมเป็นศรีแก่ประเทศอาจยังบุญบารมีให้สยามแผ่ไพศาลล่วงรู้ไปทั่วนานาประเทศ ควรที่จะทำนุบำรุงให้ถึงขนาด สืบต่อไปเบื้องหน้าจักได้เป็นกำลังแก่แผ่นดิน สร้างความวิจิตรให้แก่พระมหานครเกริกกำจรทั่วท้องนทีสถลเปล่งรัศมีโชติช่วง ครุวนาดุจจันทร์อันแวดล้องด้วยคณะคาราลีลาไปในอัมพรประเทศย่อมสำเร็จกิจดังประสงค์ทุกประการ มหาวิทยาลัยศิลปากร ย่อมอุบัติมาด้วยการฉะนี้แลฯ
ลุพุทธศักราช ๒๔๘๖ คณาจารย์อันกอปรด้วย ทวิชาติ ศาสตรจารย์ ศิลป์ พีระศรี๑ พิมาณ มูลประมุข๑ เขียน ยิ้มศิริ๑ สนั่น ศิลากรณ์๑ แสวง สงฆ์มั่งมี๑ ไพฑูรย์ เมืองสมบูรณ์๑ ประสงค์ ปัทมานุช๑ สนิท ดิษฐพันธุ์๑ พระเทวาภินิมมิต๑ ศาสตรจารย์ พระพรหรหมพิจิตร๑ มจ.ยาใจ จิตรพงศ์๑ มจ.สมัยเฉลิม กฤดากร๑ ได้พร้อมใจกันแสดงวิชาการให้ปรากฏแก่กุลบุตรไทย อมรมบ่มนิสัยให้ศิษย์บรรลุอุตมศิลปศาสตร พรั่งพร้อมกันสิ้นทุกถ้วนหน้า อาจรอบรู้หยั่งไปถึงสรรพสุนทรียะศิลปะทั่วทุกประเทศสถานเบื้องบุราณกาล จวบจนปรัตยุบันสมัย ยากที่จักหาสำนักศิลปะใดมาเทียบ อันเป็นอนัญญสาธารณ์ มิได้มีทั่วไปแก่ผู้อื่นฯ

บุรุษแรกผู้ชำนาญในเชิงการเขียนสี ๒ ประการ คือ ฝุ่นสีผสมกาวอุทก และฝุ่นสีเหลวในหลอดตะกั่วจากประจิมประเทศ อันมีสามัญนามว่า สีน้ำ ใช้พู่กันจุ่มระบายบรรเลงบนกระดาษข่อยฝรั่ง ฝีมือที่ร่างจิตรเลขานั้นเลิศคนยิ่งนัก เข้าผู้นั้นแลมีนามว่า มานะ บัวขาว อีกบุรุษหนึ่งมีมือวิเศษปานกัน ถนัดทางเขียนนาวาอันขนัดในสาคร มีเจ๊ก จีน จาม พราหมณ์ ฝรั่ง กับเดียรดาษด้วยโกสุมปทุมชาติ กวัดไกวปลายพู่กันรวดเร็วประหนึ่งลมพายุ นามของบุรุษนี้ว่า สวัสดิ์ ตันติสุข ผู้เป็นคุรุบดีแห่งช่างศิลปะวิทยาลัยสถานแลฯ

อันมานพ มานะ บัวขาวนั้น ชอบสวมอาภรณ์กางเกงระบัดเขียวใบไม้ ส่วนเสื้อที่สอดใส่นั้นเล่าเป็นของทหารผู้เจนศึกจากสมรภูมิ แต่ครั้งมหายุธนาการเอเชียบูรพา ชื่อว่าชุดเวสปอยท์ เขาเพียรสวมใส่อยู่ชั่วนาตาปี จะมีใครเสมอเหมือนก็หาไม่ วันใดมิได้สถิตประจำอยู่ ณ ห้องจิตรกรรมแล้ว ก็มักจะไปแสวงวิเวกกายเจริญใจเพียรเขียนภาพยังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม อยู่จวบจนสายัณหสมัยจึงกลับคืนเนาว์ในมหาวิทยาลัยตน เป็นเช่นนี้อยู่นิจการ ในยามนั้น ภาพเขียนของเขาย่อมปรากฏด้วยรุกชาติทั้งหลายวิจิตรไปด้วยยอดอันแดง มีประพาฬวรรณะดั่งสีครีมอ่อน เบื้องกลางเป็นรัตนมณฑปผุดขึ้นกลางสถลมารค สองข้างวิถีมีพฤกษชาติ หลายหลากล้วนทรงกุสุมชาติเบ่งบานหอมระรื่นรสสุคันธาควรเจริญใจ ใบพฤกษาเบื้องหลังล้วนมีโอภาสอันเขียว ครุวนาดุจโมรกลาป มีสาขาอันรื่นรมณียฐาน ทั้งสุมทุมพุ่มลดาประดับด้วยบุษมาลี แลประหนึ่งมณฑปดูชัฎชื่นช่ออรชรอุดม สรรพคณะพิหคน้อยใหญ่วิจิตรด้วยนานาพรรณ มีนิลวรรณเป็นต้น ยลตระการตา จิตรเลฃาพร้อมกับมีประพิมพายเหมือนทัศนาการต่อเบื้องหน้าธรรมชาตินั้น ควรแล้วที่เขาจักได้รับผลปูนบำเหน็จความชอบ ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า ๗๐ คะแนนทุกนิรันดร์กาลนั้นแลฯ

บุรุณแลสตรีอันร่วมสมาคมกับสองสหายนั้น ยังมีอีก ๔ คือ พูน เกษจำรัส๑ ณรงค์ แย้มเกษสุคนธ์๑ กฤษณา คชเสนีย์๑ แล จิตติ จูฑะพลอีก๑ ล้วนแล้วแต่มีบุญ โดยยิ่งได้ซึ่งมิ่งมหามงคล ศิลปะลาภ อดูลย์มิได้สูญเสียทีที่ได้ร่ำเรียนมาในวิชาอันประเสริฐ กอปรด้วยผลประโยชน์ล้ำเลิศเห็นปานดังนี้ น่าเสียดายหนุ่ม จิตติ จูฑะผล แห่งโคราฆะปุระนครบูรพอีสานประเทศ ต้องดับชีพด้วยอุปัทวเหตุเภทภัยในยามวิกาล บนยานพาหนะมอเตอร์ไซด์ ณ คามนิคมถิ่นเขานั่นแล ยังความโศกอาดูรแก่มวลมิตรชนผู้ร่วมคณะกันมาถ้วนหน้า อันว่าสังขารธรรมทั้งหลาย บ่มิได้เที่ยงแท้เป็นโลกธรรม มีสภาวะเกิดและประลัยอยู่เป็นนิตย์ ดังพระพุทธฎีกาเทศนาไว้ว่า ทหราปิ เย วุฑฺฒา เป็นอาทิ อรรถธิบายความว่า บุคคลใดหนุ่มและแก่ เป็นพาลและเป็นปราชญ์มีทรัพย์แลไร้ทรัพย์ก็ดี ล้วนมีมัจจุภัยเป็นเบื้องหน้าสิ้นทั้งนั้น มีครุวนาดุจภาชนะดินอันนายช่างหม้อกระทำ ถึงจะเล็กใหญ่ดิบสุกประการใด ก็คงจะมีเภทธรรมคือแตกทำลายเป็นที่สุด ก็เหมือนดังชีวิตแห่งสรรพสัตว์ทั้งหลายย่อมมีความตายเป็นที่สุดประดุจนั้น อดีตเอกศิลปิน แช่ม ขาวมีชื่อ ก็เฉกเช่นกัน เขาผู้มีมืออันอาจสำแดงฤทธ์นฤมิตกลการศิลปะได้อเนกนานาประการ จนชื่อได้ว่าเป็นเบื้องทักษณาหัตถ์แห่งอาจารย์ผู้ฝึกสอน วาดวิจารเลขาก็ดี ปลุกปั้นวิจิตรประติมาก็ดี ย่อมได้เปรียบปานๆกัน อมตะรูปนายธนูผู้โก่งศร อีกทั้งตั้งอยู่ในที่เอตทัคคะแห่งศิลปะประติมาล้วนวิสุทธิศิลป์ ย่อมยังความเลื่อมใสให้แก่บุรุษทั้งปวง เนื่องด้วยนฤมลเป็นเหตุ หทัยอันแกร่งกล้าของศิลปินเอกต้องชอกช้ำอาดูรเทวษรุ่มร้อนหฤทัย ต้องดับวิปโยคทุกข์ด้วยน้ำเมรัย ยังชีพแทนพลาหารอยู่ทุกทิวาราตรี อินทรีย์ไหม้ไปด้วยเพลิง กล่าวคือความโศกเป็นนิรันดรกาล กระแสอสุชลนองนัยเนตรไม่รู้วาย ยากที่จักตัดอาลัยร้างซึ่งเสน่หา โศกาอาดูรเดือดร้อนอยู่จวบกาลนาน จนสิ้นชีวิตลงในศักราช ๒๔๘๕ ปลายศกนั้น

ลุพุทธศักราช ๒๔๘๙ ยังมีมานพ ๖ นาย กับกุมารีอีกนางหนึ่ง สมัครใจเข้ามาศึกษายังสำนักนี้ เขาเหล่านั้นมีจิตกล้าแข็งยิ่งนัก มิได้หวั่นไหวต่ออาญาแห่งสำนักเรียน หมั่นพากเพียรแต่ป้ายสีหยาบๆ สลัดละทิ้งคติอะคาเดมิคเดิม ย่อมยังความปวดเศียรเวียนกล้าให้แก่เหล่าคณาจารย์ยิ่งนัก มาตรว่าจะตัดใจปล่อยให้เขาทำทุราจารสืบไป ย่อมไม่เป็นผลดีแก่เขาอย่าแน่แท้ แต่ต้องจำยอมปล่อยไปตามใจชอบ เขายิ่งกำเริบเสิบสานก่อตั้งคณะก๊อกขึ้นมา ดังจะเย้ยหยันให้ต้องถูกอัปเปหิออกไปฉะนี้น จวบจนเกิดมิคสัญญีดังเปลวไฟไหม้ลามไปทั่วถิ่นสถาน อัครอาจารย์เฟโรจี จำต้องพรากจากไปเนายังสถานแดนไกล เบื้องมาตุภูมิเดิม จำบำราศร้างออกไปสู่อัสดงคตประเทศแสนอาลัยเทวษ รับเหตุวิปริตแห่งแผ่นดิน กมลหมองทนลำบากอัปยศ สิ้นยศสง่าหาอำนาจบ่มิได้ ครุวนาดุจราชรถอันมีงอนปราศจารธงไชย มิฉะนั้น ดุจกองไฟอันปราศจากควัน ถ้ามิฉะนั้น ดุจราชธานีอันไม่มีบรมกษัตริย์จักดำรงไอศุริยสมบัติครอบครอง จะต้องแต่ติฉินยินร้ายบ่วายอัประมาณ เหล่าศิษยานุศิษย์ต่างประเทวนาการพิลาฟ เนตรนองอาบไปด้วยอสุชลวารี ประหนึ่งว่าจะพากันจมลงในกลางสมุทร กล่าวคือความโศกอันกุมาราแลกุมารีทั้งหลายเสวยวิดประโยคทึกขเวทนา อันไร้ร้างบำราศพระอาจารย์ในครานั้น

ลุล่วงมาอีกขวบปีเต็ม รัฐบาลดำหริว่า ซึ่งเราทิ้งมหาวิทาลัยศิลปากร ปล่อยร้างไว้นั้น จักเป็นโทษยิ่งกว่าเป็นคุณ ประเทศชาติอันกำลังพัฒนาอยู่อยู่ย่อม ถอยกำลังลง ถึงมาตรว่าจักเป็นผลของรัฐบาลก่อน ก็ไม่เกรงว่าจะเสื่อมเกียรแต่อย่างไร เราจะบำรุงเอาไว้ จะให้เป็นเกียรติยศตราบเท่ากัลปาวสาน จึงบัญชาให้อำมาตย์แห่ง กระทรวงศึกษา มีหนังสือเรียกตัวศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี กลับโดยด่วน ในปลายพระพุทธศักราช ๒๔๙๑ นั้นแลฯ
ฝ่ายมหาวิทยาลัยศิลปากรแจ้งกิจการในรัฐบาล จึงประชุมปรึกษากันสั่งเป็นสมัยการศึกษาทันที หลังจากพักการสอนมาเป็นเวลานาน บัดนี้ท่านเอกอัครมหาเสาบดีชุดรัฐบาลใหม่ ได้เมตตาปรานีหวังจะให้เปิดการอบรมสั่งสอนกุลบุตรไทยสืบไป เพื่อบำรุงไว้เป็นหลักไชยของประเทศ ครั้นจะมิสั่งให้เปิดการศึกษาไซร้ เห็นว่าเสถียรภาพของรัฐบาลจัดเสื่อมสูญเป็นแน่แท้ เพราะฝ่ายค้านของรัฐบาลนั้นเล่า ย่อยคอยจ้องจะเอาโทษอยู่แล้ว แลซึ่งจะขืนดื้อดึงต่อไป ก็เกรงจะเสียทีแก่เขาเป็นมั่นคงฯ

ขณะนั้นศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี เมื่อยังอยู่ในประเทศอิตาลี เกิดมีความรฦกถึงศิษย์ยังเมืองไทยเป็นกำลัง จึงคิดย้อนไปยัง ณ หนหลัง แต่สมัยเมื่องยังมิได้ก่อตั้งโรงเรียนขึ้นมานั้น เราได้เข้าไปสู่เมืองไทย เมื่อปี พุทธศักราช ๒๔๖๖ มาจนบัดนี้ก็ล่วงเข้า ๒๕ ขวบปี ได้ปลูกฝังความรู้แห่งศิลปะไว้มิใช่น้อย คิดจะทำนุบำรุงให้สืบวิชาไว้สืบไป จำจะต้องปรึกษากับผู้เป็นหลักของสำนัก จักก่อตั้งโรงเรียนฝึกสอนศิลปะ ในครั้งนั้นมีผู้ร่วมใจกันคือ พระสาโรชรัตนนิมาก์๑ ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี๑ เห็นพ้องต้องกันว่าควรจักเปิดโรงเรียนประณีตศิลปกรรมขึ้น การก็เป็นไปสมคะเนคิด ศิษยานุศิษย์ก็มากมีมาล้นหลาม แต่ละผู้มิหวังประโยชน์ผลแต่ประการใด หวังจักรับวิชาไว้ไปประดับสติปัญญา ที่จักเอาไปก่อเกื้อกิจราชการเมืองก็หาไม่ สืบต่อมาอีกหลายขวบปี ก็ได้วิวัฒนาการมาเป็นมหาวิทยาลัย และจักต้องชะงักงันเสมือนนาวาอันโดนพายุร้ายถึงแก่อับปางลง ฉะนั้น

ครั้นได้กลับมายังเมืองไทย ก็ได้ระดมทุ่มเทกำลังใจสอนเป็นการใหญ่ จนมั่นคงจำเนียรกาลล่วงมาถึงปรัตยุบันนี้ ก่อให้เกิดกิ่งก้านสาขาคณะวิชาแปลกๆพรรณกันไป อาทิ ผดุงไว้ในวิชามัณฑนะศิลป์ อีกทั้งสถาปัตยกรรม ทั้งโบราณวิทยา สามารถรอบรู้ในวรรณคดี อีกมีจารจารึกไว้บนแผ่นศิลา หินผาอีกมากมาย เลือกล้วนเรียนกันบ่มิรู้จบสิ้น

ลุศักราช ๒๕๐๕ ปีขาล วันจันทร ขึ้น๑๑ ค่ำ เดือน๖ ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี อาพาธหนักถึงแก่กรรม สิริอายุได้ ๗๐ พรรษา หลังจากการผ่าตัด ณ ศิริราชพยาบาล ย่อยยังความโศกาดูรสู่มวลผู้ใกล้ชิดสนิทเสน่หา อีกทั้งศิษยานุศิษย์ พราะราคาพาธประกอบด้วยกำลังกล้าบังเกิดในสิริองคาพยพ เหตุถึงกาลกำหนดที่จะสละสังขารนั้นแล ศิษย์ทั้งหลายก็ร้องร่ำกำสรด ปริเทวนาการด้วยเอกัคตพร้อมกันเป็นอันเดียว

( จบฉบับสมุดข่อยเขียนด้วยตัวรงค์เพียงแค่นี้ เข้าว่าจะมีฉบับ ๒ และ ๓ ต่อไป คณะกรรมการหอสมุดมั่นใจว่าจะรวบรวมฉบับอื่นไว้ดได้ครบถ้วน แม้ฉบันนี้กว่าจะได้มาก็นับว่าแปลดพิสดารมาก คือยายแก่คนหนึ่งกำลังจะนำไปเผาไฟ บังเอิญเจ้าหน้าที่ผู้มีความรู้ผ่านไปพบเข้า ได้ขอซื้อมา พงศาวดารฉบับนี้จึงได้มาปรากฎแก่สายตาท่าน ณ บัดนี้)
ปล. นายซีเนียร์ เป็นอีกนามปากกาของ ประยูร อุลุชาฎะ